ตำรวจบ่มแก๊ส มีดีที่ ‘ฝีเท้า’

ปัญหาที่รกรุงรังของตำรวจไม่ใช่เพิ่งจะมี หากแต่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นทวดรุ่นปู่รุ่นพ่อของตำรวจไทยในวันนี้

“แผล” ทั้งหลายในปัจจุบันล้วนสืบเนื่องมาจาก “เหตุปัจจัย” ที่ตำรวจรุ่นต่อรุ่นได้กระทำกันเอาไว้

“ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ชื่อที่ชวนเชื่อนี้ย่อมมีที่มา

“พิทักษ์สันติราษฎร์” เป็นหน้าที่ซึ่งบ่งชี้ว่าสังคมสมัยใหม่มีความจำเป็นจะต้องมีองค์กรและบุคลากรจำนวนหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองประชาชนให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตามสมควร

จริงอยู่ที่ว่า สถาบันการศึกษาครูบาอาจารย์ของตำรวจมุ่งหล่อหลอมให้บุคลากรตำรวจมีอุดมการณ์ แต่เมื่อก้าวย่างเข้าสู่ “ชีวิตจริง” ระบบตำรวจไทยได้สร้างตำรวจพันธุ์ใหม่ขึ้นมาแทน

เกิดทัศนคติอุดมการณ์กินไม่ได้ อุดมการณ์ไม่ได้ช่วยให้เจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตำรวจในอุดมการณ์ที่ทุ่มเทชีวิตให้กับการปราบคนพาลอภิบาลคนดี มีสักกี่คนที่เจริญก้าวหน้าไปได้สุดทาง

ขนาด “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” ตำรวจมือปราบชื่อดังในยุคเผ่า ศรียานนท์ ไล่ล่าปราบปรามทลายชุมโจรไอ้เสือร้ายมากมายทั้งภาคกลางภาคใต้จนเหี้ยนเตียน ไปไกลสุดในตำแหน่งสุดท้ายก็ได้แค่ “ผู้บังคับการ” ยศพลตำรวจตรี

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โจรสลัดปล้นฆ่าผู้คนบนเรือสินค้าที่ผ่านเส้นทางเกาะตะรุเตา ท้องที่เอาไม่อยู่ ส่วนกลางส่ง “พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข” นายตำรวจตงฉินไปเป็นผู้บังคับการตำรวจเขต 9 โจรสลัดเกาะตะรุเตาถูกปราบปรามราบเรียบ

สุดท้ายมีคำสั่งย้ายด่วน “บรรจงศักดิ์” เข้ากรุงเทพฯ ในตำแหน่ง “ประจำกรมตำรวจ”

คนที่สั่งย้าย มียศ “พันเอก” เป็นทหารและเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย

ต่อมา เมื่อ พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ไปจับฝิ่นของนายเข้าอีก คราวนี้ “อัศวิน” ลูกน้องนายที่เป็นตำรวจด้วยกันก็ตามมายิงตายถึงบ้านพัก

บ้านเมืองอัปยศกันทั้งระบบ

คดีที่ตำรวจรุ่นลูกศิษย์ฆ่าอาจารย์ ถูกทำเป็นสำนวน “คดีวิสามัญฆาตกรรม” และตำรวจมีความเห็น “ไม่ควรฟ้อง”

 

ที่ฟื้นฝอยยาวกันอย่างนี้ก็เพื่อจะชี้แจงว่า ถ้าจะว่ากันตามประวัติศาสตร์แล้วภายหลังจากที่ “คณะราษฎร” ครองอำนาจอยู่ได้ราว 15 ปี การเมืองไทยก็ถูกยึดครองและครอบงำโดย “คณะรัฐประหาร” ตลอดมา

ทหารทำรัฐประหารสืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน เฉลี่ย 6-7 ปีต่อ 1 ครั้ง

“ตำรวจ” ไม่ควรไปเกี่ยวข้องอันใดกับ “ทหาร” เลย เพราะตำรวจเป็น “วิชาชีพ” ด้านอำนวยความยุติธรรม

ตำรวจไม่ควรประพฤติเป็น “เบี้ยล่าง” ที่ถูกใช้เป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งสำหรับไล่ล่าฆ่าหรือหาเรื่องทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

กระชับระยะใกล้เข้ามาอีกนิด

หลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 โหมโฆษณาชวนเชื่อป่าเถื่อนกันหลุดโลก ถึงขั้นเอาดอกไม้ไปมอบให้ “ทหาร” และ “รถถัง”

ไม่มีใครกล้าด่าทหาร พร้อมกันนั้น รัฐบาลภายหลังรัฐประหารกลับออกมาประกาศว่า จะปฏิรูปตำรวจ

ตำรวจเลว ตำรวจแย่ ตำรวจเสื่อม ไม่โปร่งใส หาแต่ผลประโยชน์ รีดไถ รับสินบน ส่งส่วย ไม่น่าเชื่อถือในการอำนวยความยุติธรรม

จริงทุกอย่าง จริงในเท็จ เท็จในจริง

มีคณะทำงานกินเบี้ยเลี้ยง นั่งเถียง บันทึก ถอดเทป ทำเอกสารสรุปและรายงานจาก 2549-2566 ล่วงผ่านไป 17 ปี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

 

ล่าสุด “รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557” คณะรัฐประหาร “ขู่” จะปฏิรูปตำรวจอีก

ภายใต้ระบบการเมืองแบบนี้ ปฏิรูปตำรวจจริงๆ เกิดขึ้นไม่ได้!

การเมืองที่รวมศูนย์อำนาจเช่นปัจจุบัน โดยเนื้อแท้คือ รัฐเผด็จการ

ยุค “เผ่า” เคยใช้ตำรวจฆ่าฝ่ายตรงข้าม มาถึงสมัยนี้ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนวิธี

บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดขจัดคนเห็นต่างกับดำเนินคดีถี่ยิบฝ่ายตรงข้าม

ตำรวจมืออาชีพ นักวางแผนจัดสายตรวจลาดตระเวน เฝ้าระวังป้องกันอาชญากรรม นักสืบมือดี หรือมือสอบสวนชั้นครู ไม่มีความจำเป็นเท่ากับ “ตำรวจของนาย”

งานในหน้าที่ตำรวจทุกวันนี้จึงมีแต่แย่ลง ภาพลักษณ์เสื่อมทราม ประชาชนขาดความเชื่อถือ หวั่นระแวงและขั้นรังเกียจเมื่อฝีปะทุขึ้นเป็นครั้งคราว อย่างเช่น กรณี “ดาราสาวไต้หวัน” ที่ออกมาแฉผ่านสื่อโซเชียลว่าถูกตำรวจไทยตั้งด่าน “รีดไถ” ซึ่งตอนแรก กองบัญชาการตำรวจนครบาลถึงกับส่ง “รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล” ออกมาแถลงตอบโต้ว่า “ไม่มี”

การก้าวพลาดครั้งแรกนี้ ชี้ให้เห็นถึง “ทัศนคติที่แย่” และ “มือไม่ถึง” ของผู้นำหน่วย!

ในขั้นครหา (ยังไม่กล่าวหา) ทีมตำรวจ สน.ห้วยขวางที่ตั้งด่านวันเกิดเหตุต่างพากัน “ปฏิเสธ”

พอเรื่องทำท่าจะพลิก ผู้ที่ขวนขวาย “ค้นหาความจริง” เพื่อพิสูจน์และกอบกู้ชื่อเสียงศักดิ์ศรีหน้าตาให้กับประเทศและองค์กรตำรวจ กลับกลายเป็น “บุคคลทั่วไป”

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นบุคคลทั่วไป ไม่ได้มีตำแหน่งแห่งหน หรือมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความถูกผิดของใคร

แต่กรณีตำรวจ สน.ห้วยขวาง ตั้งด่านรีดไถดาราสาวไต้หวันนี้ “ชูวิทย์” สามารถทำให้นายสกาย เพื่อนชายของดาราสาวไต้หวัน บินจากสิงคโปร์มานั่งแฉพฤติการณ์ตำรวจถึงโรงแรมใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย

หนุ่มสิงคโปร์บอกว่า งง ที่ซื้อบุหรี่ไฟฟ้ามา 3 อันจากตลาดห้วยขวางซึ่งวางขายกันทั่วไป ไม่คิดว่าผิดกฎหมาย แต่พอเจอด่าน ถูกตำรวจขู่ว่าถ้าไม่จ่ายติดคุก 2 วัน จึงต้องจ่ายไป 27,000 บาท

ที่สุดตำรวจนครบาลก็จำนน!

“ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล” เก็บตัวเงียบ ปล่อยให้ระดับ “ผู้บังคับการตำรวจนครบาล” ออกคำสั่งให้ตำรวจ 6 นาย “ออกจากราชการเอาไว้ก่อน”

ให้ออกไปก็เท่านั้น

“ผล” ที่หน่วยเหนือคาดหวังคือ “ดับกระแส”!

 

องค์กรตำรวจไม่มีเก็บบทเรียน ไม่คิดหา “แนวทาง” แก้ไขกันอย่างถึงรากและจริงจัง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะปรับปรุงกิจการหรือพัฒนาองค์กร ผู้นำแต่ละระดับ ขาดคุณภาพ ใช้วิธีแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปเป็นเรื่องๆ หลายคนไม่ได้สันทัดจัดเจนงาน “พิทักษ์สันติราษฎร์”

ที่โตขึ้นมาได้ก็ด้วย “การเมือง”

แต่ระบบการเมืองที่ล้าหลังย่อมไม่เกื้อกูลให้เกิดองค์กรตำรวจที่ก้าวหน้าและทันสมัย ตำรวจจึงยังคงประพฤติเดิมๆ ถูกด่าถูกประณามในเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ต่อไป “แสงสว่าง” ที่ปลายอุโมงค์” ยังไม่มีปรากฏ!?!!