33 ปี ชีวิตสีกากี (5) | พระเอกเบื้องหน้า เบื้องหลังคือขุนโจร

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

นอกจากหนังไทย ผมยังชอบดูหนังฝรั่ง ประเภทหนังเคาบอย

พระเอกขี่ม้าอย่างคล่องแคล่ว ควบม้าไปตามป่าเขาทุ่งนากว้างเวิ้งว้างและควงปืนสู้กับผู้ร้าย

สู้เพื่อความถูกต้อง สู้กับนายอำเภอที่ฉ้อโกง สู้เพื่อความยุติธรรมที่ถูกกลั่นแกล้งโดนรังแก

พระเอกจะชักปืนเร็ว ยิงปืนแม่น แค่ผู้ร้ายขยับมือจะแตะปืนที่คาดไว้ที่เอว ก็ถูกพระเอกยิงที่มือแล้ว

นอกจากนั้น ยังมีฝีมือในการต่อสู้ เช่น การขว้างมีดสั้น ที่แม่นเหมือนจับวาง

พระเอกที่ประทับใจคือ คลิ้นต์ อีสวู้ด ชาร์ลส์ บรอนสัน

หนังเคาบอยมันเหมือนเอกลักษณ์ความเป็นลูกผู้ชาย ต้องใส่หมวกปีกกว้าง สุดเท่ พกปืน ขี่ม้า เด็กๆ ได้ดูกันก็จะประทับใจ

หนังสงครามที่มีทหารสู้รบกันก็เป็นหนังฝรั่งที่ผมชอบดูมากและอยู่ในใจมาตลอด

ฉากการรบที่ยิ่งใหญ่แสดงถึงความกล้าหาญและการเสียสละ เพื่อปกป้องคุ้มครองประเทศชาติ เป็นเรื่องราวที่สร้างความรู้สึกจริงๆ และก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในหน้าที่ที่ปฏิบัติ

ในวัยเด็กผมจะชอบทหารมากกว่าตำรวจ จนกระทั่งเก็บเอาไปวาดภาพตลอดเมื่อมีโอกาส เมื่อเข้าโรงเรียนแล้วตั้งแต่ชั้น ป.1 เลย

 

หนังที่ได้ดูบ่อยจากหนังกลางแปลง ยังมีหนังจีนกำลังภายใน เรื่องที่จำได้แม่น เป็นเรื่องเดชไอ้ด้วน ที่หวังอยู่ เป็นพระเอก ที่มีเพลงดาบเป็นสุดยอดยุทธภพ

แม้จะมีมือเพียงข้างเดียว แต่พลิกแพลงกระบวนท่า ปราบปรามเหล่ามารจนราบคาบ และเป็นฮีโร่ในดวงใจของผมสมัยเด็ก ที่จดจำมาจนทุกวันนี้

หนังที่ฉายกันในสมัยนั้น พระเอกแทบทุกเรื่องจะเป็นฮีโร่ คอยช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ รักความยุติธรรม ถ้าถูกข่มเหง ถูกกลั่นแกล้งโดนรังแก ถูกโกง จะสู้และถึงแม้การต่อสู้จะลำบากจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดก็ตาม

แต่หนังก็สร้างให้เห็นว่า ในท้ายที่สุดพระเอกจะชนะทุกครั้งไป

พิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ความดีชนะความชั่วเสมอ ความดี คือ ความยุติธรรม ความถูกต้อง การไม่เอารัดเอาเปรียบ ตรงไปตรงมา

มันเป็นวิถีชีวิตแบบลูกทุ่ง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่ซับซ้อน ไม่ซ่อนเงื่อน

หนังไม่เคยสร้างให้ความชั่วชนะความดีเลย

ผมเองก็รับรู้ว่า เป็นสามัญสำนึกของคนทั่วๆ ไป ว่าจะต้องทำความดีเท่านั้น จะได้เป็นพระเอกเหมือนในหนัง ทั้งหนังไทย หนังฝรั่ง หรือหนังจีน เหมือนกันหมด ไม่มีใครอยากเป็นผู้ร้ายเลย

แต่ชีวิตจริงเมื่อผมโตจนทำงานแล้ว กลับพบว่า คนบางคนสร้างให้ตัวเองเป็นพระเอกเบื้องหน้า แต่เบื้องหลังคือขุนโจรจอมวายร้าย เจ้าเล่ห์เพทุบาย ตุกติก จอมเอาเปรียบคนอื่น

ประเทศไทยมีชุกชุมมาก ปราบไม่ค่อยหมด เพราะพระเอกตัวจริงมีน้อย

 

การไปดูหนังกลางแปลงนั้น เขาฉายให้ดูเรื่องอะไร เด็กๆ ก็ต้องดูตามที่เขาฉาย เลือกไม่ได้ แค่มีหนังให้ดูก็มีความสุขแล้ว

หนังที่สร้างความสุขและตื่นตาตื่นใจให้กับวัยเด็กอย่างผมมากอีกเรื่องหนึ่ง คือ เป็นหนังที่เกี่ยวกับธรรมชาติของสัตว์และพืช เรื่อง สัตว์โลกผู้น่ารัก

ผมประทับใจที่หนังได้ถ่ายทอดชีวิตสัตว์ป่าในโลกนี้ให้ได้ดูอย่างใกล้ชิด เหมือนไปสวนสัตว์ ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ป่าในแอฟริกา

ผมจะรู้สึกตลกมาก เมื่อเห็นลิงไปเก็บกินผลไม้ที่มีแอลกอฮอล์ พอลิงกินเข้าไปมาก ก็เกิดอาการแบบคนเมา จนลิงเดินเป๋ไปเป๋มา คนดูแทบทุกคนจะตลกหัวเราะกับภาพแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

และในหนังจะมีภาพดอกไม้ที่ขึ้นเต็มหุบเขากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นการจับภาพดอกไม้ที่แสดงการเติบโตแค่ชั่วพริบตาจากดอกตูมๆ จนเป็นดอกบานแฉ่งเต็มที่

มันเป็นภาพที่แปลกสำหรับเด็กบ้านนอกในสมัยนั้นมาก

แต่ปัญหาและอุปสรรคของการดูหนังในวัยเด็ก เมื่อเขาฉายหนังจบ ก็ต้องเดินทางกลับบ้าน

ถ้าไปดูหนังที่ฉายที่วัดหงอนไก่ ก็จะเดินไปตามถนนลูกรัง แล้วลัดเลาะไปตามร่องสวนหรือทางเดินที่ชาวบ้านเดินเป็นทาง ระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงจึงจะถึงบ้าน

เวลาเดินก็ใช้ไฟฉายส่อง เพื่อให้มองเห็นทางเดิน เพราะรอบๆ ตัวจะมีแต่ความมืด และมีแสงจากตัวทิ้งถ่วงหรือหิ่งห้อยกะพริบไปทั่ว

เด็กๆ รวมทั้งผม จะกลัวผีมากๆ เวลาเดินผ่านชายป่าที่เป็นป่าไผ่ ที่ขึ้นหนาแน่นเป็นแนวยาวกั้นขวางเอาไว้ คงเป็นเพราะมันรกมาก และเวลาลมพัดเสียงใบไผ่ต้องลมมันจะมีเสียงหวีดหวิว ฟังดูวังเวง น่ากลัวจนขนลุก และพานนึกถึงผีทุกครั้ง

ตอนเดินกลับ จะไม่ค่อยมีใครอยากเดินหลังสุด จะพยายามเดินแทรกตรงกลาง มีคนอื่นอยู่ข้างหลังมันอุ่นใจไม่กลัวผีหลอก

บางทีเวลาเดินก็ง่วงมาก เพราะกว่าหนังจะเลิกฉายเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ตามปกติเด็กๆ จะนอนตั้งแต่หัวค่ำ ความง่วงทำให้เดินเซออกจากทางเดินเลยก็มี

ความง่วงเป็นสิ่งที่ทรมานอย่างหนึ่งในการดูหนัง มันมีผลจนทำให้ตื่นสายมาก จนแม่ต้องตลบมุ้ง ปลุกเรียกให้ตื่น และบ่นว่า นอนจนตะวันโด่ง

ผมกับพี่ๆ น้องๆ ก็ยังงัวเงีย ทั้งขี้ตาแฉะๆ ยังอยากนอนต่อ หนังที่ไปดูกันมักจะเป็นวันหยุดเรียน หรือปิดเทอม ช่วงฤดูร้อนไม่ต้องไปโรงเรียน

สำหรับงานศพ หรือเรียกตามภาษาหนังสือตามการ์ดที่ออกบัตรเชิญให้ไปร่วมพิธี ว่า พิธีฌาปนกิจศพ เป็นประเพณีแถวบ้านผม เขาจะทำพิธีเผาศพญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ปกติชาวบ้านจะไม่เผาศพหลังพิธีสวดศพ แต่จะเก็บศพไว้ที่โรงกุดัง

วัดบ้านนอกบ้านผมจะมีโรงกุดังเก็บศพของผู้ที่เสียชีวิต ส่วนวัดภาคอื่นจะมีหรือไม่ ผมไม่ทราบ

เมื่อมีพิธีก็จะมีการฉายหนังกลางแปลงตอนกลางคืน ก่อนหนังจะฉาย จะมีการจุดพลุที่วัดตอนบ่าย 4 โมงเย็น

ดังนั้น คนที่อยู่ใกล้วัด แม้แต่บ้านผมที่อยู่ห่างจากวัดกว่า 2 กิโลเมตร ก็ได้ยินเสียงพลุกัน เด็กๆ จะนัดหมายไปดูหนังกลางแปลงงานศพกัน

 

การไปดูหนังกลางแปลงสมัยนั้น เดินไปไกล และนานๆ จึงจะไปสักครั้ง

แต่สิ่งที่เด็กๆ ยุคผมชอบกันทุกคน คือการไปดูโทรทัศน์ที่ร้านกาแฟในหมู่บ้าน

ที่บ้านผมและทั้งหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ทุกบ้านจึงไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด

เว้นแต่ร้านกาแฟมี 2 ร้านที่ตั้งอยู่กลางคลอง จะขายกาแฟและสินค้าเบ็ดเตล็ดแทบทุกชนิด

ไม่ว่าจะเป็น กาแฟร้อนหรือโอยัวะ กาแฟเย็น โอเลี้ยง ชาดำเย็น น้ำแข็งใสใส่น้ำหวาน ไม่สีเขียวก็สีแดง

ของใช้ในบ้านมีตั้งแต่ผงซักฟอก ที่ชาวบ้านจะเรียกติดปากทุกยี่ห้อว่า แฟ้บ ซีอิ๊ว น้ำปลา ถ่านไฟฉาย ยาดม ยาหม่อง ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ตรานกแก้ว สมุด ดินสอ ไปจนถึงพวกผักผลไม้ รวมทั้งขนมให้เด็กๆ ได้ซื้อ

และตอนกลางคืนร้านกาแฟจะมีเครื่องปั่นไฟเพื่อใช้ไฟฟ้าแล้วเปิดโทรทัศน์ที่ยังเป็นขาวดำ ตั้งให้ลูกค้าดู ทั้ง 2 ร้าน ตั้งแต่หัวค่ำจึงมีคนในหมู่บ้านพากันไปนั่งดูโทรทัศน์กันเกือบเต็มร้าน

ทางร้านก็ขายของไปจนกว่าคนจะกลับกันหมด คนชอบดูหนังไทย ที่พอจำได้เป็นเรื่องปลาบู่ทอง ยอพระกลิ่น หนังญี่ปุ่น จำพวกซามูไร

และหนังที่ผมติดตามต้องดูให้ได้คือ เรื่องยอดมนุษย์อุลตร้าแมน ที่สู้กับสัตว์ประหลาดที่จะมาทำลายโลก

หนังฝรั่งที่เข้าไปในใจเลย คือ เรื่องสิงห์ทะเลทราย ที่เป็นทหารหมู่เล็กๆ ใช้รถจี๊ปไม่มีหลังคา แล้วมีปืนกลที่ติดตั้งด้านหลังคนขับ ที่หันกระบอกปืนยิงไปได้หลายทาง แต่ละตอนจะมีการสู้รบกับศัตรูในรูปแบบต่างๆ

แต่ผมชอบทหาร ชอบความกล้าหาญ เสียสละ จึงประทับใจ

เมื่อกาลเวลาผ่านไป ก็เริ่มมีโทรทัศน์เพิ่มขึ้นมา แต่ยังไกลจากบ้าน บางทีเดินไปไกลเป็นกิโลเมตร ผ่านไปตามเรือกสวน ไปจนเกือบจะถึงวัดหงอนไก่ ไปดูที่ร้านกาแฟ ที่เจ้าของร้านชื่อตานพ อยู่ที่หัวถนนปากทางเข้าวัด แต่ไปดูเฉพาะเวลากลางวัน หรือเดินไปตามถนนเพื่อไปปากทางเข้าบ้านก็ไกลจากบ้านเป็นกิโลเมตร ถนนนี้เรียกว่า ถนนกลาง ซึ่งพ่อผมเป็นคนบุกเบิกสร้างถนนขึ้นมาตั้งแต่เอาดินลูกรังมาถม จนรถยนต์สามารถวิ่งเข้ามาถึงสวนได้

ผมเป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบ เห็นรถบรรทุก 10 ล้อ บรรทุกดินลูกรังมาถมถนนก็ตื่นเต้นมากแล้ว

และพอเริ่มเป็นถนน รถยนต์ก็วิ่งได้ จนเป็นรอยทางลูกรัง 2 รอย มีหญ้าขึ้นตรงกลางไปตลอดถนน แต่ชาวบ้านนิยมขี่จักรยาน 2 ล้อมากที่สุด

บางครั้งพอใช้ถนนไปนานๆ ดินลูกรังหายไปก็เป็นหลุม เป็นบ่อ มีน้ำขังเวลาฝนตก

ผมจะเดินไปตามถนนนี้ไปดูโทรทัศน์ที่ปากทาง ที่ร้านตาฮวด ขายกาแฟ และเริ่มไปดูตอนกลางคืน ครั้งหนึ่งตอนเดินกลับบ้าน ผมถูกตะขาบต่อยที่เท้า เพราะพวกเด็กๆ จะเดินเท้าเปล่า และชอบเดินบนหญ้าที่ขึ้นอยู่ระหว่างรอยทางลูกรัง

เมื่อโดนกัด ผมปวดที่แผลมาก มีอาการแพ้ บวมจนเป็นไข้ พิษของตะขาบมันปวดมากจนผมนอนร้องไห้เกือบทั้งคืน เท้าข้างที่ถูกตะขาบต่อยบวมแดงระบมไปหมด

พอวันรุ่งขึ้น เฮียบู๊ ญาติผมที่เป็นลูกชายของป้า พี่สาวของแม่ ก็ให้ผมขี่หลังพาออกจากบ้าน แล้วขี่จักรยานพาไปหาหมอที่ตลาดกระทุ่มแบน

เรื่องของโทรทัศน์ที่เป็นขาวดำ ต้องมีการตั้งเสาอากาศรับสัญญาณ บางครั้งสัญญาณไม่ดี ภาพในจอโทรทัศน์จะล้ม บ่อยมากที่หนังกำลังสนุกๆ ภาพก็ล้มเสียดื้อๆ กว่าภาพจะกลับมาดีเหมือนเดิม ก็อดดูตอนสำคัญๆ ไปแล้ว

ประมาณงานปีใหม่ พ.ศ.2513 ผมยังเรียนอยู่ชั้นประถมปลาย ในงานปีใหม่ มีการนำโทรทัศน์ที่เป็นแบบสี มาตั้งโชว์ให้ประชาชนได้ดู ผมและคนทั่วๆ ไป พอเห็นเข้าก็ตื่นเต้นและรู้สึกทันสมัยมาก แต่คุณภาพยังไม่ค่อยดีนัก ภาพยังเป็นเส้นๆ คงจะเป็นช่วงเริ่มทดลองส่งสัญญาณเป็นสี

และในระยะเวลาต่อมา โทรทัศน์ขาวดำก็หายไปจนไม่กลับมาอีกเลย