ธุรกิจพอดีคำ : “ก้าวต่อไป”

This handout photo shows Thai King Bhumibol Adulyadej and Queen Sirikit smile while receiving Monarch and Royalty to watch a royal barge procession, a centuries-old ceremony held only once every few years, along the famous Chao Phraya river in Bangkok, 12 June 2006. Kings and queens, sultans and princes from 25 countries gathered in Thailand to celebrate 60 years on the throne for King Bhumibol Adulyadej, the world's longest-reigning monarch. RESTRICTED TO EDITORIAL USE AFP PHOTO/HO/ROYAL BUREAU / AFP PHOTO / ROYAL PALACE / STR

สัปดาห์ที่เขียนบทความนี้

เป็นสัปดาห์ที่ “ร้องไห้” เยอะเป็นพิเศษ

ได้ดูเรื่องราวของ “ในหลวง” ในสัปดาห์ถวายพระเพลิง

“น้ำตา” มันก็ไหลออกมาไม่หยุด

นึกๆ ดู ก็ไม่ใช่น้ำตาของความ “เสียใจ” เสียทีเดียว

เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูบันทึกของตัวเองเมื่อปีที่แล้ว

วันนี้ “คำตอบ” ของชีวิต บางส่วนได้คลี่คลายลง

บันทึกส่วนตัว เดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ.2559

โพสต์นี้เขียนขึ้นมาจาก “ความรู้สึกล้วนๆ”

อาจจะดู “ไร้เดียงสา” สำหรับผู้ใหญ่หลายๆ คน

แต่ผมก็อยากจะเขียนเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำของตัวเอง

เดือนที่ผ่านมา ผมหยุดอ่านหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจ

แล้วกลับมาศึกษาชีวประวัติและพระราชกรณียกิจในหลวง เท่าที่พอหาอ่านได้

ในฐานะของคนอายุ 32 เกิดปี 2527 คนหนึ่ง

ผมโตขึ้นมากับภาพของในหลวงในทีวี ที่เสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ต่างๆ

ส่วนมากจะเป็นที่ทุรกันดาร และพระราชพิธี

เราก็คิดว่าพระองค์ท่านทรงเป็น “ผู้นำ” ที่เจ๋งมากๆ

คิดว่าพระองค์ท่านทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ในฐานะ “กษัตริย์” ได้อย่างดีจริงๆ

หากแต่ว่ามีหลายๆ เรื่องที่พอมาศึกษาแล้ว

มันกระทบใจ แล้วทำให้รู้ว่า “เราแทบไม่รู้จักพระองค์ท่านเลย”

ข้อแรก ผมเพิ่งรู้ว่าประเทศไทยเมื่อ 70 ปีที่แล้วนั้น

แตกต่างจากทุกวันนี้มาก

ความเจริญที่พอมี เกิดขึ้นในแถบพระนคร

พื้นที่ต่างจังหวัดนั้น ไม่มีอะไรเลยจริงๆ

ประชาชนอยู่อย่างยากลำบาก

พระเจ้าอยู่หัวคือความหวังเดียวของพวกเขาจริงๆ

นั่นคือ สาเหตุว่าทำไมประชาชนจึงดีใจมาก เวลาได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปเยี่ยมเยียน

ก็เพราะที่ผ่านมา แม้จะได้ชื่อว่าอยู่เมืองไทย

แต่ไม่มีใคร นักการเมืองคนไหน สนใจพวกเขาอย่างในหลวงเลย

ทรงเป็นเหมือน “น้ำ” ที่รดลงบนดินที่แห้งแตกระแหง

ทำให้แผ่นดินกลับมี “ชีวิต” ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ข้อที่สอง ผมเพิ่งรู้ว่าหลายสิ่งที่ผมเห็นในวันนี้เป็นเรื่องปกติ

มันเป็น “เรื่องใหม่” ที่เราไม่เคยมีในสมัยก่อน

และเกิดจากพระราชดำริของในหลวง ไม่ว่าจะเป็น

น้ำเกลือที่ใช้ในโรงพยาบาล ที่ทรงบุกเบิกให้ผลิตเอง

นมพาสเจอไรซ์ ตราไทย-เดนมาร์ค และหนองโพ

นมอัดเม็ด นมผง สวนจิตรลดา

เกลือที่มีไอโอดีน จากโครงการ “เส้นทางเกลือ”

ปลาหมอเทศ ปลานิล ที่เป็นแหล่งโปรตีนของประชาชน

แพทย์อาสา ที่มีมากขึ้นหลายสิบเท่า แต่ก็ยังไม่มากพอ

ฝนหลวง ที่ใช้แค่เกลือโปรยลงไปบนเมฆ

ไบโอดีเซล จากน้ำมันปาล์ม

ถนนหนทางในกรุงเทพฯ ทางคู่ขนานปิ่นเกล้า พระราม 9 วงแหวน

เขื่อน ฝายต่างๆ ที่เราเห็นๆ กันทุกวันนี้

เป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ ในสมัยก่อน

ถ้าในหลวงไม่ทรงคิดให้ ผมก็ไม่แน่ใจว่านักการเมืองคนไหนจะคิด

ประเทศเราวันนี้จะเป็นอย่างไร

พระองค์ท่านทรงเป็น “นวัตกร” อย่างแท้จริง

ข้อสุดท้าย ที่กระทบใจผมที่สุด แบบน้ำตาเอ่อออกมาไม่หยุด

คือ “พระองค์ท่านไม่ต้องทรงทำแบบนี้ก็ได้” ครับ

ไม่มีความจำเป็นเลยจริงๆ

ในหลวงเกิดและศึกษาที่เมืองนอกมาโดยตลอด

ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับแม่ พี่สาว และพี่ชาย

วันหนึ่ง พี่ชายถูกเชิญกลับมาให้เป็นกษัตริย์

ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง

พี่ชายถูกทำร้ายจากนักการเมืองที่ต้องการรักษาอำนาจของตัวเอง

นักการเมืองสมัยนั้นไม่ได้ต้องการกษัตริย์เลยด้วยซ้ำ

พระองค์ท่านตอนนั้นพระชนมายุเพียง 18 พรรษา

ต้องขึ้นเป็น “กษัตริย์” แทนพี่ชาย

เป็นเรา เราจะรู้สึกอย่างไร จะกลัวมั้ย

ถ้าอยู่ที่นี่ต่อ “ครอบครัว” จะเป็นอย่างไร

กับ “ประเทศ” ที่แทบจะไม่เคยอาศัยอยู่เลย

“ประชาชน” ที่แทบจะไม่เคยรู้จักเห็นหน้า

“นักการเมือง” ที่ทำร้ายพี่ชายของเรา

เราจะ “ตัดสินใจ” อย่างไร เมื่อได้รับหน้าที่นั้น

การจากไปอย่างเงียบๆ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

แต่ในหลวงเลือกที่จะ “อยู่”

อยู่เพื่อ “ประชาชน” ที่พระองค์ท่านแทบไม่รู้จัก

อยู่เพื่อ “ประเทศ” ที่พระองค์ท่านแทบไม่เคยอาศัย

อยู่เพื่อนำทัพ “ต่อสู้” กับสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ที่คุกคามประเทศไทย

ไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ นักการเมืองชั่ว ทหารเลว

ถ้าจะมีอีกสักแง่มุมที่ผมเองเพิ่งได้รู้จักสำหรับในหลวงพระองค์นี้ สิ่งนั้นคงจะเรียกว่า “ความกล้าหาญ”

ผมเพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า

พระบารมีของในหลวงนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน จากสถานะ “กษัตริย์”

แต่เกิดจากหยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจ

การทรงงานอย่างหนักเพื่อประชาชนตลอด 70 ปีจริงๆ

ทรงเอาชนะใจพสกนิกรทั้งประเทศ ด้วยการ “ทำ” หน้าที่ของพระองค์ให้ดี

ต่อจากนี้ ไม่มีพระองค์ท่านแล้ว ให้เราได้ชื่นชมพระบารมี

แต่สิ่งที่พระองค์ท่านได้ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ยังคงชัดเจน

นั่นคือ “การใช้ชีวิตของตนเองเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น”

ผมก็คิดว่า จากนี้จะใช้สติปัญญาเท่าที่มีอยู่ เพื่อคนอื่นให้ได้มากที่สุด

จะแบ่งปันความรู้ สอนหนังสือให้น้องๆ ที่มหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่

จะเขียนสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับผู้อื่น เท่าที่จะเจียดเวลาได้

จะตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ อย่างสุดความสามารถ

ในฐานะ “คนไทย” ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

ที่พระองค์ท่านทรงดูแลมาตลอด 32 ปี

หนึ่งปีที่ “สัญญา” จะทำหน้าที่ของ “ตัวเอง” ให้ดีที่สุด

สอนหนังสือ วิชา “Design Thinking” ทั้งที่มหาวิทยาลัย และองค์กรต่างๆ รวมน่าจะเกินหนึ่งพันคน

ตั้งใจทำงาน สู้กับ “อุปสรรค” ต่างๆ ในหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่

ท้อบ้าง แต่ไม่ถอย

ตั้งมั่นใน “เหตุ” ปล่อยวางใน “ผล”

สรุปกับตัวเองได้ว่า

เมื่อเอา “ส่วนรวม” เป็นที่ตั้ง

“ประโยชน์สุข” ก็เกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ แบบที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เคยกล่าวไว้

เพลงของพี่แอ๊ด คาราบาว ก้องขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

“รอยทาง ที่พ่อสร้างไว้

ดั่งคำสอน ให้เราได้รู้

ถ้าทุกคนรวมใจไว้ แล้วพลังจะยิ่งใหญ่

ใครก็ตามจะมาแยกเรา ไม่มี

รอยทางที่พ่อสร้างสรรค์ มุ่งสู้ฝัน คืนวันสดใส

บ้านของเราจะร่มเย็น และมั่นคงเสมอไป

ต่างคนจงรู้พอเพียง ต่างคนเพียงเข้าใจ

จะสุขกายและใจ จนเพียงพอ

ก้าวตามรอยพ่อไป คือ ความสุข”

ต่อจากนี้ จะขอน้อมนำมาไว้ที่ “ตรงกลาง” ของชีวิต

จะก้าวต่อไป ตามรอยพ่อ จนกว่าชีวิตจะหาไม่