เป็นเถ้าแก่ไปขอสาวให้เพื่อน | เรื่องสั้น : เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

เรื่องสั้น | เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

เป็นเถ้าแก่ไปขอสาวให้เพื่อน

 

วันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าเริ่มสูงวัยใกล้ 50 ปี เรียกว่าอยู่มาได้ “ครึ่งร้อย” ยังไม่ครบ 60 ปี ตามหลักการรับราชการ (เดิม – แม้ปัจจุบันหลายแห่งยังใช้เกณฑ์นี้) ต้องเกษียณหน้าที่การงานของปีอายุหกสิบ หมายถึงปีพุทธศักราชที่เกิด ไม่เกินวันที่ 30 เดือนกันยายน

แต่ถ้าเกินไปกว่านั้น เช่น เกิดวันที่ 1 หรือวันที่ 2 ตุลาคม ปีเดียวกันกับอายุหกสิบ ทางราชการให้ปฏิบัติหน้าที่การงานต่ออีก 1 ปี ถึงวันที่ 30 กันยายนปีรุ่งขึ้น

ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานขยับขยายขึ้นสูงตามลำดับ จากพนักงาน เป็นผู้ช่วยหัวหน้างาน เป็นหัวหน้างาน เป็นหัวหน้าแผนก เป็นหัวหน้ากอง ที่สุดเป็นผู้อำนวยการกอง เรียกว่าความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ใครก็มักได้เลื่อนชั้นเลื่อนขั้นตามลำดับ

ต่อจากนั้นจะก้าวสูงขึ้นเป็นผู้ช่วยอธิบดี รองอธิบดี เริ่มยากขึ้น เนื่องจากมีผู้ต้องการขึ้นไปในตำแหน่งนั้น แม้มีจำนวนคนไม่มาก แต่ตำแหน่งน้อยกว่าจำนวนคน ยิ่งตำแหน่งอธิบดี ยิ่งแล้ว มีเพียงคนเดียวในกรมนั้น ดีที่มีหลายกรม โอกาสไปเป็นอธิบดีแม้จะยาก แต่คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของบางคน

ข้าพเจ้าเปรียบงานที่ทำกับตำแหน่งราชการเพราะเห็นได้ชัดเจนดี ด้วยข้าพเจ้าทำหน้าที่การงานฟากเอกชน ตำแหน่งหน้าที่อาจสูงขึ้นไปได้ไม่ยาก ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง แต่ไม่ต้องวิ่งเต้น

เอาเป็นว่าวันหนึ่งเมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้างานระดับหัวหน้าแผนก มี “ลูกน้อง” จำนวนหนึ่งที่เป็นคนหนุ่มคนสาว เพิ่งเข้าทำงานได้ปีสองปี ถึงสี่ห้าปี เป็นวัยที่กำลังจะมีครอบครัวในอีกไม่ช้า แม้ว่าหนุ่มสาวสมัยนี้เป็นประเภท “แต่งงานช้า” มีแต่คนชอบพอบ้าง ไปเที่ยวเตร่กินข้าว ดื่มด้วยกันบ้าง

ยิ่งงานประเภทต้องไปพบปะผู้คน ต้องไปเจรจา สัมภาษณ์ แล้วต้องกลับมารายงาน กลับมาเขียน ต้องหาประเต็นในวันต่อไป ยิ่งยุ่งยากกว่างานประเภท “ประจำ” หรือรับราชการ ที่มีเวลาเลิกงาน เวลาเข้างานตามกำหนด ส่วนงานที่ข้าพเจ้าว่า เป็นงานแทบไม่เป็นเวล่ำเวลา

บอกให้ก็ได้ว่า คืองานนักข่าวนักหนังสือพิมพ์

 

มีชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่ไม่เพียงแต่สนใจ หากหลงใหลอยากเป็น “นักข่าว” ตามที่เคยเห็นในจอโทรทัศน์ นักข่าวช่างภาพที่มีไมค์ มีกล้อง มีเครื่องบันทึกเสียง มีสมุดโน้ตเล่มกะทัดรัด ขนาดจับบนฝ่ามือ ฟังไปจดไป เวลาฟังดูเหมือนจะให้ความสนใจจริงจังกับผู้พูดหรือผู้ให้สัมภาษณ์ บางครั้งฟังแล้วไม่จด หรือฟังจบมีคำถามแทรกก่อนจด แล้วแต่ว่าใครจะถนัดอย่างไหน

หนุ่มสาวที่ว่านี่แหละมักมี “แฟนช้า” ยิ่งเป็นคู่รักคู่หมั้นคู่หมาย รักหวังแต่งงาน ยิ่งยาก

กว่าจะตกลงปลงใจได้ ก็โน่น…อายุเกินวัยเบญจเพสไปสี่ห้าปี หรือเกินกว่า 30 ขึ้น บางคนทั้งหญิงทั้งชายไม่แต่ง อยู่เป็นโสดเสียหยั่งงั้นแหละ ไม่ใช่ไม่สวยไม่หล่อ แต่ไม่แต่ง ใครจะทำไม

ตัวข้าพเจ้าเองเป็นเช่นนั้นเช่นกัน กว่าจะตกร่องปล่องชิ้นกับ “คู่ชีวิต” ได้ เมื่อย่างวัย 36 เข้าไปแล้ว หน้าที่การงานพอมีหน้ามีตากับเขาบ้าง ไม่ถึงกับตัวเปล่าเล่าเปลือย มีตำแหน่งแห่งหนเป็นหัวหน้างานระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับราชการคงประมาณหัวหน้าแผนก

ครับ–ตำแหน่งหัวหน้าข่าว หรือบางแห่งเรียกผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวก็มี

ตำแหน่งงานหนังสือพิมพ์เป็นตำแหน่งเริ่มต้นในกองบรรณาธิการที่ได้ยินได้ฟังแล้วเป็นที่เกรงขามกับคนทั่วไปพอสมควร โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูง มีตำแหน่งรับผิดชอบในหน้าที่การงานระดับหนึ่ง เมื่อมีปัญหาการงานย่อมต้องพยายามไม่ให้เป็น “ข่าว” เพราะเป็นข่าวเมื่อไหร่ มักเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี

ยิ่งเป็นข่าวเกี่ยวไปในเชิงทุจริตด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังให้มาก อย่าได้เข้าหูนักข่าวเชียว หากรู้เข้าไปถึงหูนักข่าว เป็นต้องโดนถูกซักถูกถามถึงความจริง ถึงความเป็นไปของข่าวเชิงทุจริตนั้น

เอ๊ะ…จะว่าถึงคนหนุ่มคนสาวในหน้าที่การงานเป็นนักข่าว แต่งงานช้า ไหงเลยไปถึงพฤติกรรมของ “คนเป็นข่าว” เสียเล่า

เอาใหม่–ยังกับหัวหน้าคณะปฏิวัติคนนั้นแน่ะ นั่งแถลงข่าวเรื่องการปฏิวัติ เอาเป็นเอาตาย พอขึ้นประโยคแรกกลับผิด ต้องบอกว่า “เอาใหม่” ขนาดว่าเขายกให้ตัวเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติแล้วนะ ยังต้อง “เอาใหม่”

เอ้า “เอาใหม่ก็เอาใหม่” ไหนๆ จะยึดอำนาจทั้งที เอ๊ย…ยังไงก็ปฏิวัติอยู่ดี

แต่ของข้าพเจ้า “เอาใหม่” คือการคิดใหม่ เขียนใหม่ กลับไปเรื่องที่ตั้งใจว่าจะพูดถึง คือการแต่งงานของคนหนุ่มคนสาวซึ่งข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้อง เนื่องจากอยู่ในวัยอันสมควรมีครอบครัว และพอจะเป็นที่รักใคร่นับถือของรุ่นน้องที่ทำงานด้วยกัน จะว่าเป็นลูกน้องก็ไม่ถูก

เอาเป็นว่าเพื่อนรุ่นน้องแล้วกัน

 

วันหนึ่งระหว่างร่วมวงสุราฮะกี๊น (ทำไมต้อง “ฮะกี๊น” ด้วยก็ไม่รู้ นั่นซิ) กับเพื่อนร่วมงานสามสี่คน

เพื่อนรุ่นน้องคนนั้นก็เลียบๆ เคียงๆ ขึ้นว่า พี่–พี่ ไปเป็นผู้ใหญ่ขอสาวให้ผมหน่อยชิ

เท่านั้นแหละ ทั้งวงฮือฮาขึ้นมาทันที ต่างคนต่างถามไถ่ให้แซด ไอ้นนท์ เอาจริงหรือวะ

เพื่อนนนท์ไม่ตอบคำถาม ได้แต่ยิ้มๆ พยักหน้าหงึก แล้วมองมาที่ข้าพเจ้า พลางย้ำว่า นะพี่นะ

ข้าพเจ้าพอรู้เบาะแสมาบ้าง จึงยิ้มตอบ “อย่าล้อเล่นนะโว้ย” แล้วถามสำนองกลับไปว่า

“เมื่อไหร่”

ครั้นได้คำตอบว่าเมื่อนั่นเมื่อนี่ ความจริงจึงเผยออกมาว่า ก็คนนั้นแหละ จะใครที่ไหนล่ะ พลันรีบปฏิเสธเพื่อนร่วมวงให้วุ่นไปหมดว่า “เปล่า-เปล่า ไม่ได้ท้องก่อนแต่งนะโว้ย…” ข้าพเจ้าเชื่อตามนั้นเพราะรู้จัก “นนท์” ดีพอสมควรว่าค่อนไปทางเรียบร้อย ไม่ค่อยมีข่าวกับใครในเชิงชู้สาว หรือก้อร่อก้อติกสาวที่ไหน โดยเฉพาะในที่ทำงาน นอกจากคนที่เอ่ยชื่อเท่านั้น

ข้าพเจ้าเคยอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ทั้งแต่งกับคนในที่ทำงานเดียวกัน และต่างสำนักงาน บ้างเป็นข้าราชการ บ้างทำงานเอกชน

เวลาได้รับเชิญให้ขึ้นไปอวยพรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ข้าพเจ้ามักหาข้อมูลระหว่างนั้น แล้วพยายามหามุขของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ที่สุดก็จบลงด้วยอวยพรให้ทั้งคู่ครองเรือนด้วยความรัก ความเข้าใจ และอภัยต่อกันตลอดไป จะมีเติมเสริมแต่งบ้างแล้วแต่วาระ แล้วแต่โอกาส

ทั้งไม่ค่อยได้ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกร่วมอภิบาลคู่บาวสาวให้ครองรักครองเรือนกันนานจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร

เพราะข้าพเจ้ารู้สึกด้วยตัวเองว่า คนเรารักกัน ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่า ความรักที่เขาบ่มเพาะกันมาจนถึงวันนี้ วันที่เข้าสู่พิธีมงคลสมรส ย่อมมีความรักต่อกันมายาวนานพอสมควร แต่ความรักนั้นมีวันจืดจางได้วันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงเน้นให้ทั้งสองครองเรือนด้วยความรักที่มีต่อกัน ทั้งระหว่างนั้นต้องสร้างความเข้าใจต่อกันให้มากๆ เพราะความเข้าใจต่อกันช่วยให้ทั้งสองครองเรือนได้นานเท่านาน

สุดท้าย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน ทั้งคู่ต้องพร้อมให้อภัยต่อกัน ตลอดไป

ข้าพเจ้าเชื่อว่า การให้อภัยต่อกันคือยาขนานวิเศษที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมอบให้แก่กัน ไม่ว่าใครจะมอบให้กับใคร มากน้อยเพียงใดก็ตาม

แต่ยังไม่เคยเป็น “เถ้าแก่” ไปสู่ขอสาวให้ใครสักคน

 

เมื่อใกล้วันเวลาต้องไปปฏิบัติหน้าที่เป็นเถ้าแก่สู่ขอสาวเจ้าให้เพื่อนรุ่นน้อง–ที่เพื่อนเรียกอย่างสนิทสนมว่า “ไอ้นนท์” ต้องวานคู่ตุนาหงันช่วยบอกว่าควรจะพูดอย่างไรกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง จึงทำให้บรรยากาศเป็นไปด้วยดี

กระนั้น เพื่อนนนท์ยังบอกว่า พี่ไม่ต้องอะไรมาก ผมเรียนพ่อแม่เขาไปบ้างแล้ว จะให้พี่เป็นเถ้าแก่มาขอน้องเจี๊ยบ พ่อแม่เขาไม่ว่าอะไร “ผมเข้านอกออกในบ้านเขามาพอสมควร พ่อแม่พี่น้องเขาก็ไม่รังเกียจ ขอให้เป็นไปตามธรรมเนียมก็แล้วกัน”

เมื่อถึงวันเวลากำหนด ทั้งข้าพเจ้าและคู่ตุนาหงันแต่งตัวเรี่ยมเร้สมเป็นผู้ใหญ่ทั้งคู่ ข้าพเจ้าสวมเสื้อคอปิดผ้าไหมลายไทยที่นิยมในหมู่ข้าราชการผู้ใหญ่ ดูสดใสและเป็นผู้ใหญ่ สาวเจ้าของข้าพเจ้าแต่งชุดไทยพองาม

เท่าที่รู้ความจากคู่ของตัวเอง ไปถามแม่เธอมาแล้ว เพราะแม่เธอนั้นเคยรับการสู่ขอ คือข้าพจ้ากับเขยอีกหลายคน ทั้งเคยไปสู่ขอลูกสาวให้ญาติ บอกมาว่า ให้ใช้คำพูดประโยคที่เป็นมงคล เช่น ไปถึงบ้านให้พูดด้วยน้ำเสียงสดใส พอได้ยินว่า “วันนี้อากาศปลอดโปร่งดีจริงนะครับ บ้านร่มรื่นสบายดี”

แล้วให้ว่าไปเรื่อย แต่อย่ามาก สักนาทีสองนาที ส่วนคู่ข้าพเจ้า รายนั้นไม่ต้องห่วง ทั้งยิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งพูดจาเรียบร้อย มีแต่คำชม

เมื่อเข้าไปนั่งที่โซฟาเรียบร้อย สักประเดี๋ยวจึงเข้าเรื่องระหว่างสนทนาพาทีว่า ผมมาขอน้องเจี๊ยบลูกสาวคุณพ่อคุณแม่ให้เพื่อนที่รักกันเป็นคู่ครองออกเรือนครับ ยิ้มไปพูดไป แต่อย่าให้ถึงกับ “ขำ” หรือคล้ายหัวเราะ หรือจริงจังเคร่งเครียด ประเดี๋ยวจะเสียบรรยากาศ

“คุณพ่อคุณแม่คงอนุณาตนะครับ” ว่าแล้วชี้หรือจับหัวไหล่เพื่อนทำนองแนะนำว่ “คนนี้ครับ เห็นว่ารักกันมานาน” ถึงตอนนี้หวังว่านนท์คงยกมือไหว้ขออนุญาตพร้อมกันไปสมกับที่ซ้อมมาบ้าง

“ทำงานด้วยกัน เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี เรียบร้อยครับ”

เท่านั้นแหละ แล้วรอดูปฏิกิริยาจากคุณพ่อ ซึ่งส่วนมากมักจะยิ้มขรึม มองหน้าผู้ขอ คือข้าพเจ้าไม่ค่อยพูดอะไร แต่คุณแม่มักจะเฉยก่อน แล้วพูดเป็นทำนองว่า เมื่อคุณมาบอกอย่างนี้ “แม่…เอ๊ย ฉันคงไม่ขัดข้อง เห็นเขามาหากันที่บ้านนี้บ่อย ก็อนุญาตให้เขาไปเที่ยวไหนต่อไหนกันบ้าง ทำงานที่เดียวกันคุณคง…”

ข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบรับคำ “ครับๆ ทำงานด้วยกัน เห็นคบกันมานาน ผมเป็นหัวหน้างานนนท์เขา ขยันครับ แต่งานหนังสือพิมพ์ เลิกงานไม่ค่อยเป็นเวลา บางครั้งดึกบ้าง อะไรบ้าง (ตรงนี้ข้าพเจ้าเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจว่าอยู่ด้วยกัน) แต่ไม่เถลไถลไปไหนหรอกครับ คุณพ่อคุณแม่เขาอยู่ต่างจังหวัด ผมรับปากกับคุณพ่อคุณแม่นนท์ว่าจะมาสู่ขอให้ก่อน แล้ววันหมั้นวันแต่งทั้งสองคนจะมาบอกสู่ขอกับคุณพ่อคุณแม่เองครับ”

ทั้งพ่อแม่ของเจี๊ยบ พยักหน้าพอใจ รับรู้ตามนั้น

 

ข้าพเจ้าเหลือบมองไปด้านหลังที่พ่อแม่เจี๊ยบนั่ง ตรงกับประตู มองเห็นใครแว้บหลบหน้าเข้าไปหลังประตู จะใครเสียอีก ถ้าไม่ใช่เจี๊ยบ เพราะการสู่ขอสาวกับพ่อแม่ มักไม่ให้ว่าที่เจ้าสาวนั่งฟังอยู่ด้วย คงให้อยู่ได้ภายในห้องตัวเอง หรือห้องพ่อแม่ แต่ไม่มีทางที่เธอจะไม่มาแอบฟัง เป็นอย่างนี้เหมือนกันทุกคน ข้าพเจ้าได้แต่ยิ้ม ไม่ให้ใครรู้ว่าเห็นว่าที่เจ้าสาวมาแอบมองแอบฟัง เชื่อว่าพ่อแม่เจี้ยบคงรู้เหมือนกันว่าลูกสาวมาแอบฟัง

เงียบกันไปสักพัก ข้าพเจ้าเหมือนกระหายน้ำ จึงยกแก้วน้ำเย็นตรงหน้าขึ้นดื่ม ภริยาทำตามบ้าง ดื่มน้ำได้สักสองอึก เมื่อลดแก้วจากริมปากลง ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นตามความเคยชินว่า เย็นชื่นใจดีจริงครับ น้ำฝนใช่ไหม ไม่ต้องรอคำตอบ วางแก้วลงบนโต๊ะ หันไปถามเพื่อนนนท์ว่า กำหนดวันแล้วใช่ไหม นนท์พยักหน้า เอ่ยวันเดือนขึ้นมา หันไปทางคุณพ่อคุณแม่ เห็นพยักหน้ายิ้มรับ

เท่านั้นแหละครับเป็นอันเสร็จพิธี ข้าพเจ้ากับภริยาขยับตัวเตรียมลากลับ เมื่อเวลาใกล้เที่ยง คุณแม่เอ่ยขึ้นว่า อ้าว!! จะกลับแล้วรึ ไม่อยู่รับข้าวเที่ยงด้วยกันก่อน นนท์ ชวนพี่เขาอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนซิ

ข้าพเจ้ารีบตอบปฏิเสธ ไม่เป็นไรครับ เอาไว้วันหลังจะแวะมากินข้าวเย็นฝีมือคุณแม่ เห็นนนท์ไปชมให้ฟังสองสามครั้งแล้ว…นะครับ พอดีกับภริยาสะกิดให้รู้ตัวว่าลากลับได้แล้ว จึงไหว้ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ลุกจากโซฟา ออกมาสวมรองเท้าตรงประตู สวมเสร็จ หันไปไหว้ลาอีกครั้ง

กลับออกมาหน้าบ้าน ค่อยโล่งอก บอกกับทั้งนนท์และภริยาว่า เพิ่งเคยงานแรก สำเร็จด้วยดี ดีใจด้วยนะนนท์ ถอนหายใจโล่งอก-เฮ้อ-แล้วเดินออกมาขึ้นรถกลับจากตรงนั้น •