ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 ธันวาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | คนมองหนัง |
ผู้เขียน | คนมองหนัง |
เผยแพร่ |
‘เดี๋ยวพรุ่งนี้ พระอาทิตย์ก็ขึ้น’ | จากตัวเลือกที่ ‘บ้าบอ’ สู่การพาทีม ‘ฟ้าขาว’ คว้าแชมป์โลก
เดือนพฤษภาคม 2006 “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด” กำลังเข้าใกล้การคว้าถ้วยรางวัลแรกในรอบ 26 ปี (และจะเป็นถ้วยที่สี่นับแต่ก่อตั้งสโมสร) เมื่อเข้าพวกเขาออกนำ “ลิเวอร์พูล” 3-2 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ อังกฤษ
แต่แล้ว “สตีเวน เจอร์ราร์ด” ก็ซัดประตูตีเสมอให้ทีมหงส์แดงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะเอาชนะในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ 3-1 (สกอร์รวม 6-4) ดับฝันของทีมขุนค้อนไปอย่างเจ็บปวด
“ลิโอเนล สกาโลนี” แบ๊กขวาชาวอาร์เจนตินาของเวสต์แฮมในเวลานั้น ยอมรับว่าความผิดพลาดของเขา นำไปสู่ประตูตีเสมอช่วงท้ายเกมของเจอร์ราร์ด
“เหมือนโลกทั้งใบมันพังทลายลงใส่ผม ผมพลาดถ้วยเอฟเอคัพ ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะความผิดพลาดของผมเอง ที่เคลียร์บอลได้ไม่ดีพอ แล้วชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เวสต์แฮมไม่เซ็นสัญญาซื้อตัวผมอย่างถาวร (ช่วงนั้นทีมขุนค้อนยืมตัวแบ๊กขวารายนี้มาจากสโมสร ‘เดปอร์ติโบ ลา โกรุญญา’) ผมต้องเดินทางกลับสเปน”
แต่ด้วยชะตากรรมเช่นนั้นนั่นเอง ที่ทำให้สกาโลนีได้พบเจอ “สิ่งดีๆ” ในชีวิต เพราะเมื่อต้องหวนกลับไปเล่นฟุตบอลอาชีพในสเปน เขาก็มีโอกาสทำความรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกัน และมีลูกๆ ด้วยกันสองคน
ความพ่ายแพ้ที่เกาะอังกฤษ คือประสบการณ์บาดแผลครั้งอดีตที่สอนให้สกาโลนีตระหนักว่า นักฟุตบอลจำนวนมากต่างต้อง “แบกรับภาระความรับผิดชอบอันหนักหนาสาหัส” เอาไว้บนบ่าของตัวเอง และหน้าที่ของเขาในฐานะผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนตินาคนปัจจุบัน ก็คือ การพยายามปลดปล่อยลูกทีมออกจากพันธะทางอารมณ์ความรู้สึกแบบนั้น
“เมื่อคุณลงสนามในนามทีมชาติอาร์เจนตินา ความรู้สึกว้าวุ่นใจ ความเครียด ความตื่นเต้น จะเกิดขึ้นตลอดเวลา” หัวหน้าโค้ชวัย 44 ปี รู้ซึ้งถึงสภาพจิตใจของนักเตะในทีมเป็นอย่างดี
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ พระอาทิตย์ก็ขึ้น” จึงกลายเป็นถ้อยคำที่ผู้ฝึกสอนเช่นสกาโลนีชอบพูดย้ำออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อปลอบประโลมและปลดเปลื้องความกดดันภายในใจของคนเป็นนักฟุตบอล
ไม่แน่ใจว่าเขาได้พูดประโยคนี้กับบรรดาสมาชิกในทีม ภายหลังอาร์เจนตินาพลิกล็อกพ่ายซาอุดีอาระเบีย 1-2 ในนัดแรกของฟุตบอลโลก 2022 หรือไม่?
เพราะนับจากนั้น ทีมฟ้าขาวก็ค่อยๆ พัฒนาฟอร์มการเล่น ทีมเวิร์ก และสภาพจิตใจของตัวเองจนเข้าที่ แข็งแกร่ง ยากจะต้านทาน
ขณะเดียวกัน “ลิโอเนล สกาโลนี” ก็กลายเป็นขวัญใจของประชาชนชาวอาร์เจนตินา หลังจากเขาพาทีมฟ้าขาวเดินหน้าคว้าความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการได้แชมป์โคปาอเมริกาเมื่อปี 2021 และการได้แชมป์ฟุตบอลโลกปี 2022
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมาคมฟุตบอลอาร์เจนตินาจะตัดสินใจต่อสัญญาการทำงานของสกาโลนีออกไปจนถึงปี 2026 ทั้งๆ ที่เมื่อตอนเขาได้รับแต่งตั้งเป็น “ผู้จัดการทีมรักษาการ” หลังพลพรรคฟ้าขาวเพิ่งล้มเหลวในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียนั้น แทบไม่มีใครในประเทศที่เชื่อมั่นในตัวของอดีตแบ๊กขวาผู้เคยติดทีมชาติแค่ 7 นัดรายนี้เลย
หนึ่งในคำวิจารณ์ที่รุนแรงเอามากๆ มาจาก “ดิเอโก้ มาราโดน่า” สุดยอดตำนานนักเตะผู้ลาลับ ซึ่งบอกว่าการตัดสินใจของสมาคมฟุตบอลที่แต่งตั้งคนไม่มีประสบการณ์อย่างสกาโลนีเข้ามารับหน้าที่สำคัญ ถือเป็นเรื่องที่ “บ้าบอ”
มาราโดน่าถึงกับพูดประชดประชันความบ้าบอดังกล่าวว่า การแข่งขัน “ชิงแชมป์โลก” เดียว ที่เขาจะเดินทางไปชมไปเชียร์ถึงขอบสนาม คือ “การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลก” ไม่ใช่ “ฟุตบอลโลก”
แต่นายใหญ่คนใหม่ของทีมฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา ที่เคยผ่านงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของสโมสรเซบีญาและทีมชาติอาร์เจนตินา โดยไม่เคยเป็นผู้จัดการทีมมาก่อน กลับก้มหน้าก้มตาทำงาน โดยไม่ทุ่มเถียงกับคำวิจารณ์ต่างๆ ทั่วสารทิศ
เขาและทีมงานผู้ช่วยระดับ “อเวนเจอร์ส” ที่ล้วนแล้วแต่เคยเป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติ (ซึ่งมีชื่อเสียง-ความสำเร็จมากกว่าสกาโลนีเสียอีก) ไม่ว่าจะเป็น “ปาโบล ไอมาร์” “โรเบร์โต อยาลา” และ “วัลเตร์ ซามูเอล” ได้ค่อยๆ ช่วยกันสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นกับทีมชาติอาร์เจนตินาชุดปี 2022
ไม่เพียงเท่านั้น สกาโลนียังบริหารจัดการทีมและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เดิมที ผู้เล่นแผงกลางที่ช่วยให้อาร์เจนตินาผงาดคว้าแชมป์อเมริกาใต้เมื่อปีก่อนนั้นจะประกอบด้วย “โรดริโก เด ปอล” “เลอันโดร ปาเรเดส” และ “โจบานี โล เซลโซ”
แต่เมื่อโล เซลโซ บาดเจ็บจนต้องหลุดจากทีมชุดฟุตบอลโลก ส่วนปาเรเดสก็เดินทางมากาตาร์แบบไม่แข็งแรงเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ สกาโลนีจึงต้องค่อยๆ ปรับสมดุลตรงแดนกลาง (ซึ่งแฟนบอลสามารถมองเห็นร่องรอยความขรุขระได้อย่างชัดเจนในช่วงสองเกมแรก ที่อาร์เจนตินาแพ้ซาอุดีอาระเบีย และชนะเม็กซิโกด้วยการออกสตาร์ตที่น่าอึดอัด)
ก่อนจะมาลงตัวด้วยสามประสานอย่างเด ปอล “อเล็กซิส แม็ก อัลลิสเตอร์” และ “เอนโซ เฟร์นานเดซ” แถมด้วยการเปิดพื้นที่ให้ศูนย์หน้าดาวรุ่งอย่าง “ฆูเลียน อัลบาเรซ” กองหน้าตัวสำรองจาก “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ที่โชว์ฟอร์มในบอลโลกคราวนี้ได้อย่างจี๊ดจ๊าด
แม็ก อัลลิสเตอร์, เฟร์นานเดซ และอัลบาเรซ ต่างเป็นผู้เล่นในวัยต้นๆ 20 ที่ลงฟาดแข้งในนามทีมชาติมาไม่เยอะ แต่ถ้าพิจารณาฟอร์มการเล่นฟุตบอลอาชีพในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาลนี้ (ก่อนพักเบรกเพื่อแข่งฟุตบอลโลก) ก็ต้องยอมรับว่า ทั้งหมดมีโอกาสลงสนามให้สโมสรต้นสังกัดอย่างค่อนข้างต่อเนื่อง และมีสภาพร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์พร้อม
เช่นเดียวกับแผนการเล่นของอาร์เจนตินาที่มีพลวัตความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังจะเห็นว่าแท็กติกที่ทีมฟ้าขาวเลือกใช้ในแต่ละนัดนั้นแทบไม่ซ้ำกันเลย (หรือบางครั้ง ในหนึ่งเกมก็ใช้แผนการเล่นมากกว่าหนึ่งแผน) จาก 4-4-2 สู่ 4-3-3 และ 5-3-2
สอดคล้องกับสิ่งที่สกาโลนีเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ถ้าคุณยืนกรานที่จะยึดติดกับความคิด (แรกเริ่ม) ของตัวเองไปตั้งแต่ต้นจนจบ ผลลัพธ์สุดท้ายมันจะออกมาเลวร้ายมาก”
การนำนักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาผงาดขึ้นคว้าถ้วยแชมป์โลกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปี ของสกาโลนีและทีมงานทุกฝ่าย
ถือเป็นการสานฝันสุดท้ายบนเส้นทางนักฟุตบอลของ “ลิโอเนล เมสซี่”
ทั้งยังเป็นการอุทิศความสำเร็จให้แก่ฮีโร่ผู้ล่วงลับอย่าง “ดิเอโก้ มาราโดน่า” ซึ่งสำหรับนักเตะทีมชาติชุดปัจจุบันและบรรดาทีมงานผู้ฝึกสอนเกือบทั้งหมด นี่คือ “ฟุตบอลโลกหนแรกในช่วงชีวิตของพวกเขา” ที่ปราศจากมาราโดน่า ไม่ว่าจะในฐานะนักฟุตบอล ผู้จัดการทีม หรือผู้ชมข้างสนาม
รวมถึงเป็นการย้ำเตือนว่าความสำเร็จของทีมฟ้าขาวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไร้ซึ่งอีกหนึ่ง “ลิโอเนล” คือ “ลิโอเนล สกาโลนี”
ในที่สุด ดวงอาทิตย์ก็ลอยเด่นเหนือฟากฟ้าประเทศอาร์เจนตินาเรียบร้อยแล้ว! •
ข้อมูลจาก
https://www.bbc.com/sport/football/63526754
| คนมองหนัง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022