ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 ธันวาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ผลงานอีกชิ้นของมิโรในพิพิธภัณฑ์ Foundation of Joan Miró ที่เรียบง่ายจนน่าตื่นตะลึงในความคิดของเรา (และอาจจะรวมถึงของผู้ชมอีกหลายคน)
คือผลงาน Landscape (1968) ภาพวาดบนผืนผ้าใบสีขาวกว้างใหญ่ ที่แทบจะไม่มีอะไรอยู่บนนั้นเลย นอกจากจุดสีน้ำเงินเล็กๆ เพียงจุดเดียว (แถมจุดยังออกจะเลือนๆ ด้วย)
ดังคำกล่าวของมิโรที่ว่า “ความเงียบคือการปฏิเสธเสียง แต่แม้แต่เสียงที่เบาที่สุดท่ามกลางความเงียบ ก็กลายเป็นเสียงที่ดังกึกก้องได้”
ผืนผ้าใบกว้างใหญ่สีขาวว่างเปล่าทำให้เรามองเห็นจุดเล็กๆ สีน้ำเงินอันเลือนรางเพียงจุดเดียวได้อย่างเด่นชัดถนัดตาเพียงใด จุดเล็กๆ สีน้ำเงินอันเลือนรางที่ว่านี้ก็สะท้อนถึงพื้นที่รอบข้างอันว่างเปล่ากว้างใหญ่ และขับเน้นให้เห็นถึงรายละเอียดการทอ หรือแม้แต่คุณภาพของผืนผ้าใบให้เราเห็นเพียงนั้นเช่นกัน
หรือผลงานที่เรียบง่ายจนน่าตื่นตะลึงไม่แพ้กันอย่าง Painting on white background for the cell of a recluse I,II, III (1968) ภาพวาดบนผืนผ้าใบกว้างใหญ่สีขาวสามภาพ ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย นอกจากเส้นขีดสีดำเรียวเล็กที่ไม่ค่อยจะตรง
มิโรกล่าวถึงภาพนี้ว่า “สำหรับผม การได้มาซึ่งเสรีภาพคือการได้มาซึ่งความเรียบง่าย เมื่อถึงที่สุดแล้ว เส้นเพียงเส้นเดียวหรือสีเพียงสีเดียวก็สามารถวาดภาพได้”
สำหรับมิโร เส้นแค่เพียงเส้นเดียวก็สามารถสร้างรูปทรงที่เผยให้เห็นถึงต้นกำเนิดของสรรพสิ่งได้
แถมพื้นที่จัดแสดงภาพวาดชุดนี้ ยังเป็นมุมที่สถาปนิกออกแบบให้ทั้งสามภาพมีบทสนทนาต่อเนื่องกันราวกับเป็นภาพวาดสามแผง (triptych) ได้อย่างเฉพาะเจาะจงอีกด้วย
อีกมุมของห้องแสดงงานยังมีผลงานภาพวาดสามแผงอันโดดเด่นไม่แพ้กันอย่าง The hope of a condemned man I,II, III (1974) ที่มิโรวาดขึ้นจากความรู้สึกคับแค้นของประชาชนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองอันโหดเหี้ยมกดขี่ของจอมเผด็จการ ฟรานซิสโก ฟรังโก
เรื่องบังเอิญที่น่าเศร้าก็คือ วันที่มิโรวาดภาพนี้เสร็จ นั้นเป็นวันเดียวกับที่ฟรังโกประหารชีวิตนักต่อสู้หนุ่มแห่งกองทัพปลดแอกชาวกาตาลัน ซัลบาดอร์ พุช อันติช (Salvador Puig Antich)
เช่นเดียวกับภาพร่างลายเส้นที่มิโรทำก่อนหน้า ผลงานชิ้นนี้ที่นำเสนอภาพการตรึงกางเขน, การจองจำ, ทัณฑ์ทรมาน และการหลบหนี ด้วยการใช้เส้นโค้งวิ่งไปรอบรอยเปื้อน ก่อนที่จะหยุดชะงักลงอย่างฉับพลัน แสดงให้เห็นถึงความคับแค้นและความหวังของผู้คนในการหลีกหนีจากเงื้อมเงาของเผด็จการ
ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีผลงานชิ้นเอกของมิโรที่เราเคยเห็นแต่ในหนังสือจัดแสดงอยู่ให้เห็นเป็นบุญตา อย่างผลงาน The Gold of the Azure (1967) ภาพวาดที่ได้แรงบันดาลใจจากการที่เขาไปเยือนประเทศญี่ปุ่นในปี 1966 และได้ซึมซับกับปรัชญาเซนและบทกวีไฮกุ ผลงานชิ้นนี้ของเขาแสดงถึงอิทธิพลของศิลปะการเขียนพู่กันญี่ปุ่น และจังหวะจะโคนของบทกวีไฮกุ
หรือผลงาน Figure in front of the sun (1968) ภาพวาดที่ผสมผสานกระบวนการแสดงออกอย่างอัตโนมัติของจิตไร้สำนึกแบบเซอร์เรียลลิสม์ เข้ากับศิลปะการเขียนพู่กันญี่ปุ่น และสุนทรียะในเชิงกวีเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ด้วยการใช้เส้นสายอันเรียบง่ายและแม่สีพื้นฐาน ในการสร้างโลกแห่งความฝันอันไร้ตรรกะเหตุผลบนผืนผ้าใบ
ที่เจ้าตัวกล่าวว่าเป็นภาพของ “สุนัขกับดวงอาทิตย์” แต่อย่าเพิ่งสงสัยว่ามันดูเหมือนสุนัขตรงไหน เพราะความคลุมเครือและการเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมตีความอย่างอิสระเสรีโดยไม่บังคับหรือชี้นำนั้นเป็นจุดเด่นในผลงานของมิโรนั่นเอง
อีกผลงานที่อลังการตระการตาที่สุดในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ Tapestry of the Fundació (1979) ผลงานศิลปะในรูปผ้าทอคล้ายพรมแขวนผนังขนาดใหญ่ ความสูง 5 เมตร ที่มิโรร่วมทำขึ้นกับ โจเซพ โรโย (Josep Royo) ศิลปินสิ่งทอชาวกาตาลัน เพื่อจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้โดยเฉพาะ
โดยในช่วงปี 1970 มิโรเริ่มทำงานในลักษณะที่เรียกว่า Sobreteixim หรืองานลูกผสมระหว่างจิตรกรรม, งานคอลลาจ และสิ่งทอ ด้วยความช่วยเหลือของโรโย
มิโรเป็นศิลปินที่มักจะทดลองกับวัสดุแปลกๆ เพื่อท้าทายและทำลายกรอบและขีดจำกัดของการทำงานศิลปะแบบเดิมๆ ดังเช่นผลงานจิตรกรรมสิ่งทอของเขาอีกชิ้นในพิพิธภัณฑ์อย่าง Sobreteixim with eight umbrellas (1973) ผลงานสิ่งทอความยาวเกือบ 6 เมตร ที่มิโรหยิบเอาวัตถุที่หาได้รอบตัวทั่วไปอย่างร่ม, กระดาษแข็ง, ผ้านุ่ง และถุงมือเย็บติดลงไปในผืนพรม หรือแม้แต่สาดสีลงไปบนผลงานตรงๆ ก็ยังมี
นอกจากผลงานจิตรกรรมที่จัดแสดงบนผนัง ในห้องแสดงงานและดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์ยังมีผลงานประติมากรรมสำริดหน้าตาประหลาดปนน่ารัก หรือแม้แต่ทะลึ่งตึงตัง ที่หล่อขึ้นจากวัตถุธรรมดาสามัญที่เราพบได้รอบตัวทั่วไปหรือเครื่องมือเครื่องใช้ประจำวันอย่างก๊อกน้ำ, ไม้แขวนเสื้อ, กระบุง, กระดองเต่า
หรือแม้แต่มือเท้าของศิลปินและคนใกล้ชิด ฯลฯ จัดแสดงอยู่โดยทั่ว
นอกจากจะจัดแสดงผลงานของมิโรแล้ว ในพิพิธภัณฑ์ Foundation of Joan Miró ยังมีการจัดแสดงผลงานของศิลปินอื่นๆ ทั้งศิลปินร่วมสมัย ที่ทางพิพิธภัณฑ์เปิดพื้นที่ศิลปะทางเลือกในชื่อ Espai 13 (Space 13) เพื่อเปิดโอกาสให้ศิลปินและภัณฑารักษ์รุ่นใหม่ๆ (หรือศิลปินที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว) จัดแสดงผลงานศิลปะเชิงทดลองต่างๆ
โดยในช่วงที่เราไปชมนั้นมีการจัดแสดงนิทรรศการ 1 possession Drift โดย มาร์เรีย แพรตส์ (Marria Pratts) ศิลปินชาวกาตาลัน และภัณฑารักษ์ เปเร ลูเปรา (Pere Llobera) กับผลงานจิตรกรรมและศิลปะจัดวางเชิงทดลองบรรยากาศแปลกล้ำ ที่เรารู้สึกว่าสร้างบทสนทนากับผลงานศิลปะของมิโรอย่างน่าสนใจ
หรือผลงานของศิลปินอเมริกัน อเล็กซานเดอร์ คาลเดอร์ (Alexander Calder) (ที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดีจากประติมากรรมโมบาย ที่เล่นกับความสมดุลของวัตถุทั้งหลายของเขา) อย่าง Mercury fountain (1937) ประติมากรรมจัดวางรูปโมบายผสมน้ำตกจำลอง
แต่สิ่งที่ไหลอยู่ภายในน้ำตกจำลองที่ว่านั้นไม่ใช่น้ำ หากแต่เป็นปรอทเหลว งานชิ้นนี้จึงจำเป็นต้องจัดแสดงอยู่ในห้องกระจกปิดมิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ไอพิษของปรอทสัมผัสผู้ชม
ผลงานชิ้นนี้มีที่มาจากการที่คาลเดอร์เป็นศิลปินต่างชาติคนเดียวที่ได้รับการว่าจ้างให้สร้างผลงานจัดแสดงใน Spanish Republic’s Pavilion ที่นิทรรศการนานาชาติที่ปารีสในปี 1937
(ซึ่งเป็นนิทรรศการที่ปิกัสโซแสดงผลงานชิ้นเอกของเขาอย่าง Guernica (1937) อีกด้วย ถ้าสังเกตป้ายแขวนด้านหลังผลงาน จะเห็นคาลเดอร์โพสท่าถ่ายภาพคู่กับผลงานชิ้นนี้ที่แสดงอยู่ด้านหน้าภาพ Guernica อีกด้วย)
คาลเดอร์สร้างผลงานประติมากรรมจัดวางชิ้นนี้เพื่อขับเน้นถึงสภาวะเศรษฐกิจในช่วงสงครามกลางเมืองของสเปน ระหว่างปี 1936-1939 ในช่วงเวลานั้น เหมืองปรอทที่เมือง Almad?n ซึ่งผลิตปรอทส่งออกนับเป็น 60% ของอุตสาหกรรมปรอทของโลก ถูกกองทัพรัฐบาลขวาจัดของนายพลฟรานซิสโก ฟรังโก โจมตีอย่างหนัก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมตกต่ำจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งประเทศ (เพราะปรอทเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก)
ตัวประติมากรรมนี้จะถ่ายเทปรอทให้ไหลขึ้นลงไปมาอย่างไม่รู้จบ ถ้าสังเกตด้านบนประติมากรรมจะมีคำว่า Almad?n ทำจากลวดทองแดงดัดแขวนห้อยอยู่ด้วย ผลงานศิลปะที่สวยงามแต่เปี่ยมด้วยอันตรายชิ้นนี้ ถือเป็นหนึ่งในงานศิลปะชิ้นสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกเลยก็ว่าได้
คาลเดอร์มอบผลงานชิ้นนี้เป็นของขวัญให้พิพิธภัณฑ์ Foundation of Joan Miró ที่บาร์เซโลนาด้วยตัวเอง
อันที่จริงคาลเดอร์กับมิโรนั้นมีความสนิทสนมกันมาก หลักฐานก็คือผลงานอีกชิ้นที่เขามอบให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่าง 4 wings (1972) ประติมากรรมโลหะขนาดใหญ่หน้าตาคล้ายกลีบดอกไม้สีแดงสดที่ตั้งอยู่บนสนามหญ้าหน้าอาคาร ที่เราเล่าให้ฟังไปในตอนต้นนั่นแหละ
พิพิธภัณฑ์ Foundation of Joan Mir? ตั้งอยู่บนเนินเขามองต์คูอิก เมืองบาร์เซโลนา เปิดทำการวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00-18.00 น. ปิดวันจันทร์, สนนราคาค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ ราคา 13 ยูโร, นักเรียนนักศึกษาอายุ 15-30 ปี และผู้สูงอายุกว่า 65 ปี ราคา 7 ยูโร, เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าชมฟรี, หอศิลป์ Espai 13 เข้าชมฟรี, ดูรายละเอียดและจองตั๋วเข้าชมได้ที่ https://www.fmirobcn.org/
ข้อมูล หนังสือ Catalog Miró . His Most Intimate Legacy, หนังสือ HIS LIFT’S WORK Joan Miró
พิเศษ! MIC WALKING TRIP #08 เที่ยววัดชมศิลปะระดับโลก
เมื่อ ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คอลัมนิสต์ชื่อดังในมติชนสุดสัปดาห์ ผู้เล่าเรื่องศิลปะได้น่าฟังที่สุดในปัจจุบัน
และ ธัชชัย ยอดพิชัย ผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัดและโบราณสถาน จับมือพากันไปเที่ยวในวัดสำคัญย่านบางกอก พร้อมชมงานศิลปะระดับโลก
ทำความเข้าใจประวัติวัดและความสำคัญจากอดีตจนถึงปัจจุบันของ 2 วัดดังในย่านบางกอก-ธนบุรี และอาคารประวัติศาสตร์มิวเซียมสยาม
พร้อมฟังที่มาที่ไปของผลงานศิลปินระดับโลก ที่นำผลงานมาจัดแสดงใน BAB 2022
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 เวลา 13.00 -17.00 น.
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022