ในประเทศ : บทสรุป คดีจำนำข้าว โจทก์-จำเลยไม่อุทธรณ์ กับปริศนาเดิมๆ “ปู” อยู่ไหน?

พาดหัวข่าว “จบมหากาพย์” คดีจำนำข้าว

มีที่มาเริ่มจาก นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปิดเผยถึงการยื่นอุทธรณ์คดีจำนำข้าว

หลังจากวันที่ 27 กันยายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาสั่งจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเวลา 5 ปี ไม่รอลงอาญา ว่า

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นวันครบกำหนดเวลา 30 วัน ที่จำเลยคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องมายื่นคำร้องอุทธรณ์ด้วยตนเอง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฉบับใหม่ พ.ศ.2560

แต่นับจาก 25 สิงหาคม วันนัดฟังคำพิพากษาครั้งแรก น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ “ล่องหน” หายตัวไป โดยไม่ได้ติดต่อทีมทนายความอีกเลยนับแต่นั้น เมื่อไม่ได้รับการติดต่อ ทีมทนายความจึงไม่ยื่นอุทธรณ์

ในส่วนอัยการสูงสุด โจทก์คดีจำนำข้าว นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็นว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามบทลงโทษที่อัยการยื่นฟ้องคดีแล้ว จึงไม่ยื่นอุทธรณ์อีก

นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะรองหัวหน้าคณะทำงานอัยการรับผิดชอบคดีจำนำข้าว กล่าวว่า

คดีนี้อัยการฟ้องให้จำคุกในอัตราโทษตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี ซึ่งศาลวินิจฉัยเหมาะสมแก่การลงโทษแล้ว คือให้จำคุก 5 ปี ถือว่าสูงแล้วสำหรับคดีความผิดลักษณะนี้

เรื่องราวคดีจำนำข้าวดำเนินมานาน 2 ปี 8 เดือน นับจากกุมภาพันธ์ 2558 ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เมื่อสองฝ่ายไม่อุทธรณ์ จึงถือว่าคดีถึงที่สุด

จากนี้ไปเป็นเรื่องการบังคับคำตามคำพิพากษา

จากการที่ศาลออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาบังคับตามคำพิพากษา พบว่าเป็นหมายจับที่ “ไม่มีอายุความ” ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฉบับใหม่

นอกจากนี้ ยังต้องยึดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 แก้ไข พ.ศ.2558 มาตรา 71/1 คือ “การไม่นับอายุความ”

ดังนั้น ไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะหลบหนีไปนานแค่ไหน เมื่อกลับมาก็ต้องรับโทษจำคุก 5 ปี และแม้จะรับโทษครบตามกำหนดแล้วก็ยังต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเอาไว้

ทั้งหมดนำมาสู่บทสรุปว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจต้องหลบหนีไปตลอดชีวิต

ส่วนความรับผิดชอบทางละเมิด ตามที่กระทรวงการคลังเคยมีคำสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท ยังคงเดินหน้าต่อ ไม่เกี่ยวกัน ขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลปกครอง

เช่นเดียวกับความพยายามติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์มารับโทษ โดยการประสานงานระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการ และกระทรวงการต่างประเทศ

แต่ตลอดห้วงเวลากว่า 2 เดือนนับจากวันที่หายตัวไป ไม่ว่าใครหรือหน่วยงานใดก็ยังสืบเสาะไม่พบร่องรอยว่าแท้จริง น.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนีไปพำนักอยู่ประเทศใด

ทุกอย่างยังเป็นปริศนาดำมืด

ตรงนี้เองคือปัญหา หากรัฐบาลต้องการใช้ช่องทาง “ขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน” อย่างแรกก็จำเป็นต้องรู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ประเทศอะไร จึงจะสามารถทำเรื่องขอไปได้

อย่าว่าแต่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ไม่รู้ นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ ก็ไม่รู้

ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลระดับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ก็ไม่รู้ เพราะยังไม่มีใครแจ้งกลับมา

“มีแต่บอกเล่ากันไปมา สื่อมวลชนเขียนบ้าง อะไรบ้าง สังคมโซเชียลเขียนกันไปเลอะเทอะ ข้อสำคัญคือประเทศที่อดีตนายกฯ พำนักอยู่ต้องยืนยันกลับมา ถ้าจะไปฟังอะไรอย่างอื่นก็คงไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ที่การรับรองของประเทศเจ้าของพื้นที่” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

ไม่มีใครรู้ น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ประเทศใด

แต่รัฐบาล คสช. ก็ไม่ลดละความพยายาม ที่จะสร้างความยากลำบากแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ ยอมรับว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เพิกถอนหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต 4 เล่มของ น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานมา

เป็นหนังสือเดินทางทูต 2 เล่ม บุคคลทั่วไป 2 เล่ม

ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยประเมินเหตุผลการขอลี้ภัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น่าจะมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่อังกฤษ มากกว่าดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ถึงแม้ทางอังกฤษแจ้งยืนยันกับกระทรวงการต่างประเทศของไทยว่า ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์มาอยู่ จะไม่มีเรื่องลี้ภัย และต้องอยู่ตามขั้นตอนของกฎหมายการเข้าเมือง

นั่นอาจเป็นเพราะอังกฤษเองก็เชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะไม่เลือกวิธี “ขอลี้ภัย” แต่อาจเลือกใช้ช่องทางการ “ยื่นขอสัญชาติ” จากประเทศใดประเทศหนึ่งเหมือนที่ นายทักษิณ ชินวัตร เคยทำมาก่อน

การเพิกถอนหนังสือเดินทางสร้างผลสะเทือนต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงใด อาจดูได้จากการเพิกถอนหนังสือเดินทางของนายทักษิณ

นายทักษิณถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางทุกเล่มหลังการรัฐประหาร 2549 แต่ถึงทุกวันนี้ยังสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลก ก็เพราะถือหนังสือเดินทางของประเทศ “มอนเตเนโกร” และ “นิการากัว”

เว็บไซต์ “บีบีซีไทย” อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดนายทักษิณ ระบุว่า นายทักษิณคาดไว้แล้วล่วงหน้า ถึงการยกเลิกหนังสือเดินทางของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเตรียมการไว้แล้ว

ขณะนี้มีหลายประเทศพร้อมมอบหนังสือเดินทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องจับตาว่ารัฐบาล คสช. จะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ลำพัง “ทักษิณ” เคลื่อนไหวอยู่นอกประเทศก็สร้างปัญหามากพออยู่แล้ว เพิ่ม “ยิ่งลักษณ์” เข้าไปอีกคน ก็นึกภาพไม่ออกว่าจะอย่างไร

ที่สำคัญผ่านมานานกว่า 2 เดือน คสช. และรัฐบาลยังไม่ได้รับเบาะแสเสียด้วยซ้ำไปว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ที่ใด

สถานการณ์ไม่ต่างจากการ “ยิงธนู” ในที่ “มืด”

รัฐบาลเหมือนได้เปรียบในฐานะผู้ไล่ล่า แต่ความจริงเป็นอย่างนั้นหรือไม่

ยังน่าสงสัย