ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 ธันวาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | โลกทรรศน์ |
ผู้เขียน | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ |
เผยแพร่ |
ทางการจีนมักยกตัวอย่างความสำเร็จโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ว่าเป็นตัวอย่างอันแรกของความสำเร็จของบีอาร์ไอในอุษาคเนย์ ในความหมายว่า สร้างเสร็จเป็นโครงการแรก เปิดเดินรถแล้ว
แต่ยังไม่มีการศึกษาผลได้ทางเศรษฐกิจ ผลกระทบการย้ายถิ่นฐาน และปัญหาความขัดแย้งระหว่างแรงงานชาวจีนกับแรงงานลาว ฯ
ในเวลาเดียวกันก็พยายามยกตัวอย่างโครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงในอินโดนีเซีย ว่าเป็นความสำเร็จของโครงการในภาคพื้นสมุทร
แต่ก็ไม่ได้พูดถึงปัญหาความขัดแย้งภายในอินโดนีเซียที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการ จีนมัวแต่เร่งส่งหัวรถจักรไปเท่านั้น
ความจริง โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงมีความตึงเครียดทางการเมืองในอินโดนีเซีย อันเป็นปัญหาสำคัญของโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายสำคัญนี้
โครงการเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง (Jakarta-Bandung High Speed Rail Project-HSRP) ในอินโดนีเซียมูลค่า 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ความยาว 150 กิโลเมตร เสนอโดยรัฐบาลอินโดนีเซียปี 2015 ลงนามเมื่อประธานาธิบดีโจโกวี วิโดโด (Jokowi Widodo) เยือนปักกิ่งปี 2017 ก่อสร้างปี 2018 แผนการเดิมให้เสร็จปี 2019 เป็นโครงการหัวใจด้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม
เส้นทางนี้จะย่นระยะเวลาเดินทางจากจาการ์ตาถึงบันดุง 3 ชั่วโมง เหลือเพียง 40 นาที1
โครงสร้างการเงินประกอบด้วย เงินกู้ 75% เงินทุน 25% เงินทุนมาจากบริษัทร่วมทุน อินโดนีเซีย-จีน (KCIC) รัฐบาลอินโดนีเซียเป็นเจ้าของ 60%
โครงการถูกคาดหวังการจ้างงานในท้องถิ่นใหม่ 39,000 งาน และจำกัดจำนวนแรงงานจีนลง
หลังประธานาธิบดีโจโกวีลงนามสัญญาก่อสร้างทางรถไฟ จีนยืนยันให้รัฐบาลอินโดนีเซียประกันการเช่าที่ดิน ทำให้มีการเลื่อนโครงการเพราะปัญหาการรวบรวมที่ดิน จีนหยุดปล่อยเงินกู้ชั่วคราว
แต่อีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญมากคือ ปัญหาความล่าช้าในการก่อสร้าง เพราะมีพวกฉวยโอกาสทางการเมืองและมีการเจรจาใหม่ รวมทั้งการเผชิญหน้าทางการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น
ความจริงญี่ปุ่นเริ่มโครงการรถไฟจาการ์ตา-บันดุงนี้ตั้งแต่แรก มีการศึกษาความเป็นไปได้ HSR ปี 2009 หลังประธานาธิบดีโจโกวีชนะการเลือกตั้งปี 2015 ในที่สุด รัฐวิสาหกิจจีน China Railway Group Limited-CREC ได้งานนี้ด้วย 2 เหตุผล
1. ตามแผนงานของรัฐบาลญี่ปุ่น รัฐบาลอินโดนีเซียต้องค้ำประกันเงินกู้ ในขณะที่แผนงานของจีนไม่ได้เรียกร้องการค้ำประกันเงินกู้ของรัฐบาล2
ประธานาธิบดีโจโกวีเห็นด้วยกับการทูตเชิงกระจาย (Diplomatic Diversify) อันหมายถึง ความสัมพันธ์กับหลากหลายประเทศ แทนที่จะอิงอยู่กับเพียงไม่กี่ประเทศ และรัฐบาลของประธานาธิบดีโจโกวีต้องการออกจากการลงทุนของญี่ปุ่น ที่เป็นผู้ลงทุนอันดับ 1 ในอินโดนีเซีย นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 โดยเฉพาะภาคการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน นี่เพราะว่า การลงทุนและโครงการความช่วยเหลือของญี่ปุ่นมีความเข้มงวด และมีเงื่อนไขมาก โดยเฉพาะเรื่องการค้ำประกันของรัฐบาล (Sovereign Guarantee) และเวลาเสร็จสิ้นโครงการ
ด้วยความเข้มงวดของญี่ปุ่น แต่ความยืดหยุ่นที่ไม่มีเงื่อนไขของจีนด้านการเงินดึงดูดประธานาธิบดีโจโกวีมากกว่า
2. รัฐวิสาหกิจจีน CREC สัญญากับรัฐบาลโจโกวี ว่าจะเสร็จงานก่อสร้างก่อนประธานาธิบดีโจโกวีทำการเลือกตั้งใหม่ปี 2019 อันทำให้ประธานาธิบดีโจโกวีสามารถรักษาสัญญาทางการเมืองว่าจะปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และชนะใจผู้เลือกตั้ง และในที่สุดชนะการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ของเขา
อย่างไรก็ตาม รัฐวิสาหกิจจีน CREC ก็สร้างโครงการเส้นทางรถไฟสายนี้ไม่เสร็จตามกำหนด แต่ก็ไม่มีผลต่อการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีโจโกวีชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง
เหนืออื่นใด โครงการมีความยุ่งยาก ซึ่งเกิดจากความตึงเครียดทางการเมืองทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นของอินโดนีเซีย ในขณะที่พันธมิตรของประธานาธิบดีโจโกวีให้การสนับสนุนโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟแน่นอน แต่มีการต่อต้านมาจากกระทรวงคมนาคม ทหารและรัฐบาลท้องถิ่นบันดุงตะวันตก (West Bandung)
โครงการมีปัญหาความขัดแย้งภายในคณะรัฐมนตรี เช่น กระทรวงคมนาคมขัดแย้งกับกระทรวงกิจการสาธารณะและที่อยู่อาศัย
กระทรวงคมนาคมขัดแย้งกับกระทรวงขนส่ง (Ministry of Transportation) กระทรวงคมนาคมโจมตีว่า ไม่ได้รับการปรึกษาเพียงพอจากกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงคมนาคมมีบทบาทเพียงเสริมเท่านั้น โดยมี Ministry of State ซึ่งบรรดาผู้ที่เป็นพันธมิตรทางการเมืองของประธานาธิบดีโจโกวีได้เป็นแกนนำในโครงการก่อสร้าง และพวกเขามักอ้างถึงผลกระทบระยะยาว เช่น ความปลอดภัยและคุณภาพของโครงการมากกว่าประสิทธิภาพด้านต้นทุน
ประธานาธิบดีโจโกวีและพันธมิตรของเขาอ้างว่า อดีตรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมมีความใกล้ชิดญี่ปุ่นและเป็นล็อบบี้ยิสต์ให้บรรดาบริษัทญี่ปุ่นอีกด้วย
การต่อต้านในส่วนกลางขยายตัวไปท้องถิ่นบันดุงตะวันตก มีการเรียกร้องสัมปทานเพิ่มจากบริษัทร่วมทุนอินโดนีเซีย-จีน (KCIC) รวมทั้งอุปกรณ์มากขึ้น ขยายถนนกว้างขึ้น สนามกีฬาใหม่ และที่ดินเพื่อเพาะปลูกของท้องถิ่น
ในขณะที่การทำโครงการคือความสำคัญต่อเศรษฐกิจชาติ ทำให้รัฐบาลกลางกล่าวหารัฐบาลท้องถิ่นทำให้ต้องหยุดโครงการกลางคัน เพราะท้องถิ่นมีความล่าช้าในการส่งมอบใบอนุญาตบริษัทก่อสร้างท้องถิ่น
อีกการต่อต้านหนึ่งคือ มาจากทหารอินโดนีเซียที่มองว่าการลงทุนจีนกำลังวางตัวแทรกแซงกิจการภายในและนำไปสู่ความเสี่ยง เนื่องจากมีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ มีการโจมตีโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟของรัฐบาลจีนนี้ โดยใช้คำว่า “มีการขายประเทศให้จีน”
การมองเช่นนี้ มาจากความไม่ไว้วางใจยาวนานและหวาดระแวงต่อจีน ที่จีนมีบทบาทในอดีตสนับสนุนขบวนการคอมมิวนิสต์ในอินโดนีเซียช่วงทศวรรษ 1950-19603
เหนืออื่นใด ทหารวิจารณ์ HSRP ที่มีการรุกเข้าไปเขตที่ดินทหาร คือ Halim Perdanakusuma air base ในจาการ์ตาตะวันออก ดังนั้น ผู้บัญชาการทหารอากาศเสนอย้ายที่ตั้งสถานี HSRP ไปอยู่อีกที่
การต่อรองโดยหน่วยปกครองบันดุงตะวันตกและการต่อต้านของทหาร ทำให้เกิดปัญหาการได้มาของที่ดินสำหรับโครงการ และทอดยาวออกไป อันเป็นผลจากการกระจายอำนาจ
โดยสรุป หน่วยปกครองท้องถิ่นและทหารคัดค้านการควบคุมที่ดินของระบบราชการ เพื่อต่อรองรัฐบาลส่วนกลาง
การต่อต้านของทหารถูกนำมาใช้รณรงค์ชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี จากผู้นำฝ่ายค้าน พล.อ.โปรโบโว (Probowo) อดีตพลเอกหน่วยทหารพิเศษ ผู้มีบทบาทสำคัญในทางการเมืองและการทหารอินโดนีเซีย นายพลท่านนี้เคยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการใช้ความรุนแรงกับผู้นำทางการเมือง มีส่วนในการกวาดล้างและเข่นฆ่าผู้คนในติมอร์ ตะวันออก ที่ทหารอินโดนีเซียไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวออกเป็นเอกราช
พล.อ.โปรโบโว (Probowo) อ้างว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง HSRP ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ เขาให้สัญญาเรื่องการทบทวน การเจรจาใหม่หรือทำให้โครงการเป็นโมฆะ หากเขาชนะเลือกตั้ง
แต่ท่านนายพลก็แพ้การเลือกตั้งชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี
อาจกล่าวได้ว่า ความต้องการทั้งหมดมาจากรัฐบาลกลาง การแข่งขันทางการเมืองรอบๆ โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงที่สะท้อนถึงตัวแทนฝ่ายต่างๆ และความตึงเครียดระหว่างตัวแทนผลประโยชน์ฝ่ายต่างๆ ในระบบการเมืองอินโดนีเซีย
ในขณะที่องค์กรท้องถิ่นมีอำนาจเพิ่มขึ้นมาเนื่องจากการสนับสนุนของรัฐบาลท้องถิ่น ทำให้พวกเขาต่อรองกับหน่วยงานระดับชาติเพื่อประโยชน์ที่ดีกว่าของท้องถิ่น ทำให้รัฐบาลกลางต้องคิดใหม่ด้านการจัดการโครงการ
น่าสนใจมาก มีสิ่งชี้ชัดว่า โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือบีอาร์ไอ ของจีนในกรณีอินโดนีเซียคือ โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง มีแนวโน้มที่เป็นตัวแทนของการเมืองภายในทั้งในคณะรัฐมนตรี รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น นักการเมืองกับทหาร และการเล่นเกมอำนาจในประเทศเจ้าภาพผู้รับความช่วยเหลือโครงการบีอาร์ไอ อันมีผลต่อการดำเนินการโครงการและผลการปฏิบัติงาน
เป็นที่ทราบกันดีว่า มีหลายฝ่ายชอบกระแนะกระแหนว่า อินโดนีเซียกำลังจะเปิดบริการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง ก่อนที่โครงการที่คล้ายคลึงกันในประเทศไทยจะเริ่มต้นเสียอีก ทางการจีนมักกล่าวอ้างความสำเร็จของยุทธศาสตร์บีอาร์ไอในลาวที่เปิดวิ่งแล้ว แต่ไม่มีรายงานผลที่ได้ทางเศรษฐกิจ พร้อมด้วยการฉลองโครงการรถไฟความเร็วสูงในอินโดนีเซียนี้ว่า เป็นอีกหนึ่งของความสำเร็จของบีอาร์ไอของจีน
เอาเข้าจริงๆ ความขัดแย้งทางการเมืองภายในที่เข้มข้นในอินโดนีเซียก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ คล้ายกับที่บีอาร์ไอมีปัญหาในหลายๆ ประเทศนะครับ
การต่อต้านบีอาร์ไอไม่ใช่มีแค่ชาวบ้านที่สูญเสียที่ดิน การต่อต้านนี้กระจุกตัวอยู่ในแกนกลางของชนชั้นนำอินโดนีเซียด้วย
1 Siwage Dharma Negara and Leo Suryadinata, “Jakarta-Bandung High Speed Rail Project : Little Progress, Many Challenge” ISEAS Perspective 4 January 2018, : 2.
2 Wilma Salim and Siwage Dharma Negara, “Why is the high-Speed Rail Project si Important to Indonesia”, ISEAS, Perspective No. 16 2016.
3 Siwage Dharma Negara and Leo Suryadinata, “Jakarta-Bandung High Speed Rail Project : Little Progress, Many Challenges” ISEAS Perspective 4 January 2018, : 7.
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022