ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพิ่งจะมีนิทรรศการใหญ่เต็มรูปแบบครั้งแรกของศิลปินชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งที่ล่วงลับไปแล้ว ที่จัดขึ้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เราเลยขอหยิบยกเอาเรื่องราวของเขามาเล่าให้อ่านกัน
ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า ฌอง-มิเชล บาสเกีย (Jean-Michel Basquiat)
จิตรกรในแนวโพสต์โมเดิร์น กราฟิตี้ และ นีโอ เอ็กซ์เพรสชั่นนิสม์
ผลงานของเขาเป็นการผสมผสานศิลปะหลากสไตล์หลายเทคนิคเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งงานศิลปะแบบกราฟิตี้บนท้องถนน ภาพวาดสีน้ำมัน วาดเส้น ภาพคอลลาจปะติด และสื่อผสม ฯลฯ
เกิดในปี 1960 ณ เมืองบรูกลิน นิวยอร์ก ช่วงวัยเด็ก เขาเป็นเด็กที่ฉลาดเกินอายุ เขาอ่านหนังสือออกและมีพรสวรรค์ทางศิลปะโดดเด่นตั้งแต่อายุได้สี่ขวบ
เมื่ออายุสิบเอ็ด เขาสามารถพูดและเขียนภาษาฝรั่งเศส สเปน และอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วแตกฉาน
แต่ในช่วงวัยรุ่นเขากลายเป็นเด็กหนุ่มใจแตกและออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 15 เขาถูกไล่ออกจากบ้านและไปอาศัยอยู่กับเพื่อนในบรูกลิน และหาเลี้ยงชีพด้วยการขายเสื้อยืด โปสการ์ดทำมือ และทำงานพาร์ตไทม์ในโรงงานผลิตเสื้อผ้า
บาสเกียเริ่มต้นการทำงานศิลปะด้วยการเป็นศิลปินสตรีทอาร์ตพ่นกราฟิตี้ข้างถนน ในเมืองแมนฮัตตัน โดยใช้ชื่อ SAMO ร่วมกับเพื่อนศิลปินอีกคน
และเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินกราฟิตี้หัวขบถผู้มากฝีมือ
จนในปี 1980 เขาได้ร่วมแสดงในงาน The Times Square Show และได้ลงนิตยสารศิลปะชื่อดังอย่าง Artforum ซึ่งนำพาชื่อของเขาเข้าสู่แวดวงศิลปะในนิวยอร์ก และมีงานแสดงในแกลเลอรี่ชั้นนำอีกมากมายหลายแห่ง
จนกระทั่งในปี 1982 เขาได้พบและทำความรู้จักกับเจ้าพ่อป๊อปอาร์ต แอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) และได้กลายเป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมงานกันนับแต่นั้นมา
เมื่อนั้นชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังจนฉุดไม่อยู่
ในปี 1985 ความโด่งดังทำให้เขาไปปรากฏตัวอยู่บนหน้าปกของนิตยสาร The New York Times ในฐานะจิตรกรอเมริกันเลือดใหม่ที่ร้อนแรงและ “ขายดี” ที่สุดในช่วงเวลานั้น กับฉายา “The Radiant Child” (เจ้าหนูผู้เรืองรอง) ผู้โดดเด่นและฉายแสงเจิดจ้าที่สุดในวงการศิลปะร่วมสมัยยุคนั้น
หลายคนอาจไม่ทราบว่า ครั้งหนึ่ง บาสเกียเคยมีสัมพันธ์รักกับราชินีเพลงป๊อปตัวแม่อย่าง มาดอนน่า มาก่อน
เขาและเธอเดตกันในยุค 80 ตอนที่บาสเกียยังเป็นศิลปินข้างถนนที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่การเริ่มมีชื่อเสียงในวงการ จากการผลักดันของวอร์ฮอล
และมาดอนน่าเองก็กำลังอยู่ในช่วงทำอัลบั้มเปิดตัว
ด้วยเหตุที่ทั้งสองมีพื้นเพและบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกันทำให้ทั้งคู่ตกหลุมรักกันอย่างไม่ยากเย็น
แต่วีถีชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่อาจยืนยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาเสพติดอย่างหนักหน่วงของเขา ทำให้ท้ายที่สุดในปี 1983 เธอก็เป็นฝ่ายจากลา
ไม่นานหลังจากนั้น ชื่อเสียงและความสำเร็จของทั้งคู่ก็พุ่งทะยานถึงขีดสุด บาสเกียมีงานแสดงเดี่ยวครั้งใหญ่ที่หอศิลป์ชั้นนำของนิวยอร์กอย่างกาโกเซียน
ส่วนมาดอนน่าก็มีซิงเกิลฮิตติดชาร์ตอย่าง Lucky Star
ในปี 1984 เขาออกตระเวนแสดงงานในหลายประเทศทั่วโลก
ส่วนเธอก็ปล่อยอัลบั้มที่สอง Like A Virgin ซึ่งโด่งดังอย่างถล่มทลาย
ดูเหมือนว่าทั้งคู่ต่างก็แยกย้ายกันไปมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ มาดอนน่าก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางสายดนตรีจนกลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจในวงการป๊อปจวบจนทุกวันนี้
ถึงแม้ความสัมพันธ์ของมาดอนน่ากับบาสเกียจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หากแต่ความเป็นศิลปินของเขาก็ส่งแรงขับดันและพลังให้เธออย่างมหาศาล
เธอให้สัมภาษณ์ลงนิตยสาร Interview ถึงบาสเกียว่า
“ฉันยังจำได้ว่าเคยตื่นขึ้นมากลางดึกตอนตีสี่แล้วไม่พบเขานอนอยู่ข้างๆ ฉันเดินไปเห็นเขากำลังหมกมุ่นกับการวาดภาพราวกับตกอยู่ในภวังค์ ฉันตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น ทุกครั้งที่ความรู้สึกของเขาขับเคลื่อน เขาจะลุกไปทำงานทันที”
ฌอง-มิเชล บาสเกีย กลายเป็นหนึ่งในศิลปินอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยของเขา
แต่น่าเศร้าที่ความสำเร็จและชื่อเสียงเงินทองนั้นก็มาพร้อมๆ กับหายนะที่มีชื่อว่า “เฮโรอีน”
เขาเริ่มถลำลึกสู่เส้นทางที่ทำลายตัวเองด้วยยาเสพติด
จนในที่สุด ในวันที่ 12 สิงหาคม 1988 เขาก็เสียชีวิตจากการเสพเฮโรอีนเกินขนาดด้วยอายุเพียง 27 ปี เท่านั้น
เหลือทิ้งไว้แต่เพียงชื่อเสียง และบรรดาผลงานอันล้ำเลิศทั้งในด้านมูลค่าและแรงบันดาลใจที่ส่งผ่านมาสู่คนรุ่นหลัง
กลับมาที่นิทรรศการที่เราเกริ่นเอาไว้ตอนต้นบ้าง นิทรรศการนี้มีชื่อว่า Basquiat: Boom for Real เป็นนิทรรศการที่สำรวจผลงานของ ฌอง-มิเชล บาสเกีย โดยคัดเลือกผลงานกว่า 100 ชิ้น จากพิพิธภัณฑ์และคอลเล็กชั่นส่วนตัวทั่วโลก
นอกจากนั้น ยังมีภาพยนตร์เกี่ยวกับศิลปินที่หาดูได้ยาก รวมถึงภาพถ่าย และวัตถุสะสมต่างๆ นิทรรศการนี้เป็นการจับเอาจิตวิญญาณของศิลปินผู้ล่วงลับผู้นี้ที่ยังคงเปี่ยมอิทธิพลและแรงบันดาลใจจวบจนถึงทุกวันนี้
นิทรรศการจัดแสดงที่หอศิลป์ Barbican ของศูนย์ศิลปะและการเรียนรู้ Barbican บนถนนซิลก์สตรีต กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2017 ถึง 28 มกราคม 2018
ค่าเข้าชมแพงหน่อย 24 ปอนด์ ตกเป็นเงินไทยราวพันบาทเศษๆ แต่ก็ถือว่าคุ้มแหละ
เพราะนอกจากจะมีงานของบาสเกียให้ดูแบบจัดหนักจัดเต็มอย่างที่บอกแล้ว ยังมีเซอร์ไพรส์ตรงที่ศิลปินกราฟิตี้ชื่อดังชาวอังกฤษสุดลึกลับผู้เป็นที่รู้จักในฉายา แบงก์ซี (Banksy) ยังแอบดอดไปวาดภาพกราฟิตี้บนผนังอาคารใกล้กับสถานที่จัดแสดงงานอีกด้วย
โดยภาพแรกเป็นภาพแคแร็กเตอร์ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์แทนตัวบาสเกีย ที่ถูก “ต้อนรับขับสู้” โดยตำรวจนครบาลอังกฤษ
และแคแร็กเตอร์ที่ว่านี้ก็มีที่มาจากผลงานจิตรกรรมชื่อดังของบาสเกียอย่าง Boy and Dog in a Johnnypump (1982) ที่ถูกแบงก์ซีวาดใหม่ในสไตล์ของงานศิลปะเชิงเสียดสีประชดประชัน
โดยเป็นภาพที่ดูเหมือนกับบาสเกียกำลังถูกตรวจค้นโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคน และมีหมายืนมองดูใกล้ๆ ซึ่งเชื่อมโยงกลับไปในช่วงที่บาสเกียพ่นกราฟิตี้บนท้องถนน เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นและจับกุมอย่างรุนแรงอยู่บ่อยๆ ซึ่งเขาก็ถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านั้นลงในผลงานของเขา
และแบงก์ซีก็เอามาล้อเลียนเสียดสีต่ออีกที
ส่วนภาพวาดของแบงก์ซีอีกภาพ เป็นภาพของลูกค้าที่กำลังยืนเข้าคิวรอขึ้นชิงช้าสวรรค์ที่มีกระเช้าเป็นรูป “มงกุฎ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของบาสเกียนั่นเอง
นอกจากจะเป็นการแสดงการคารวะผู้รุ่งโรจน์โชติช่วงที่ล่วงลับอย่างบาสเกีย ในสไตล์หยิกแกมหยอกแล้ว แบงก์ซียังวาดภาพกราฟิตี้สองชิ้นนี้ เพื่อท้าทายนโยบายอันเข้มงวดของศูนย์ศิลปะ Barbican ที่มักจะลบภาพกราฟิตี้ที่มาพ่นบนผนังอาคารออกอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ซึ่งก็คงไม่ต้องถามว่าทางศูนย์ศิลปะ Barbican จะกล้าลบภาพกราฟิตี้ของแบงก์ซีออกจากผนังตึกตัวเองไหม
เพราะตอนนี้เขาติดแผ่นพลาสติกใสหรือเพล็กซิกลาสทับบนภาพเพื่อป้องกันมือดีหรือศิลปินกราฟิตี้คนอื่นมาวาดทับให้ภาพเสียหายไปเรียบร้อยโรงเรียนลอนดอนแล้วน่ะนะ!
เข้าไปดูรายละเอียดและจองตั๋วเข้าชมนิทรรศการนี้ได้ที่ https://goo.gl/pcXBGw