ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ตุลาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
อาชญา ข่าวสด
คำสารภาพหนุ่มโหด
ฆ่าหั่นศพ-ฝังตอม่อ
วางแผนนาน 3 เดือน
ญาติเหยื่อจี้ประหาร
กลายเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง สำหรับการลงมือฆ่าหั่นศพเซลส์สาวแล้วเอาไปอำพรางฝังดินไว้ที่ตอม่อทางด่วน
เพราะไม่ใช่แค่การกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ที่ไหนด้วยกัน ฆาตกรที่เป็นคนลงมือยังเป็นคนคุ้นเคยกัน ถึงกับเป็นคนรักที่คบหากันอยู่
และเมื่อถูกจับได้ ก็ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเป็นคนลงมือเอง พร้อมเล่ารายละเอียดทุกขั้นตอน
ที่น่าตกตะลึงมากไปกว่านั้นก็คือการยอมรับว่าได้วางแผนลงมือมานานกว่า 3 เดือน ทั้งการขุดหลุมเตรียมพร้อม ซื้ออาวุธสังหาร น้ำยาล้างห้องน้ำไว้ทำลายหลักฐาน
เมื่อสบโอกาสก็นัดหมายเหยื่อสาวมาพบเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจ กลับลงมือฆ่า และหั่นศพเพื่อซ่อนเร้นอำพราง อ้างว่าทนไม่ได้ที่ฝ่ายหญิงกำลังจะตีจาก ทั้งที่ตัวเองก็มีภรรยาอยู่แล้วเช่นกัน
ถือเป็นอุทาหรณ์ยืนยันชัดเจน ไม่ว่าจะเตรียมแผนการมาอย่างดีขนาดไหน ก็ยากที่จะซ่อนเร้นปิดบังได้ทั้งหมด
อีกเรื่องที่ต้องตระหนักให้มาก เมื่อหมดรักกันแล้ว ทางที่ดีคือไปตามเส้นทางของใครของมัน การก่ออาชญากรรมเช่นนี้ไม่ใช่คำตอบ!!

ฆ่าหั่นศพ-ฝังตอม่อทางด่วน
เหตุการณ์หฤโหดครั้งนี้เป็นที่รับรู้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบเรื่องราวผิดปกติ ที่อพาร์ตเมนต์เช่ารายวันแห่งหนึ่ง ย่านซอยสุขุมวิท 115 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยระบุว่าแม่บ้านที่เข้าไปทำความสะอาดห้องพัก พบสิ่งของที่น่าสงสัย อาทิ ขวาน มีด ถุงดำ น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ และยังมีกลิ่นคาวเลือดคลุ้งจากในห้องน้ำห้องพัก
เจ้าหน้าที่ตรวจจึงเข้าตรวจสอบ พร้อมเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดอพาร์ตเมนต์ดังกล่าว พบว่าเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 28 กันยายน มีชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามาเปิดห้องพักด้วยกัน โดยเช่าไว้ 7 วัน โดยภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพว่าทั้งคู่ขึ้นรถมาพร้อมกันและขึ้นลิฟต์ไปบนห้องด้วยกัน
ต่อมาวันที่ 29 กันยายนช่วงค่ำ พบชายคนดังกล่าวออกจากห้องพักเพียงคนเดียว และย้อนกลับเข้ามาใหม่ ต่อมาช่วงบ่ายวันที่ 30 กันยายน ชายคนดังกล่าวออกจากตึกโดยมีกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วย และย้อนกลับมาขนถุงดำอีกในช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. โดยนำขึ้นรถยนต์เก๋ง ฮอนด้า ซิตี้ สีขาว ทะเบียน ฎล-8211 กรุงเทพมหานคร
จึงวางแผนดักรอผู้ต้องหาให้กลับมาที่ห้องพักที่ใช้ก่อเหตุ ก่อนบุกเข้าไปควบคุมตัว พร้อมสอบปากคำก็ได้ยินความจริงที่น่าตระหนกด้วยการรับสารภาพว่าหญิงสาวที่เข้ามาด้วยกันกลายเป็นศพถูกฆ่าหั่นแล้วนำไปฝังดินเรียบร้อย!!!
ทั้งนี้ ชายคนดังกล่าวคือ นายชาญวิทย์ วงสหาก หรือดอน อายุ 35 ปี ขณะที่ฝ่ายหญิงผู้เสียชีวิตคือ น.ส.อรนันท์ นราทร หรือพิน อายุ 30 ปี
ก่อนจะคุมตัวไปชี้จุดที่นายชาญวิทย์รับสารภาพว่านำของกลางไปทิ้งไว้ที่คลองบางขวด ย่านลาดพร้าว ห่างจากตลาดนัดเลียบด่วนประมาณ 100 เมตร ก่อนรวบรวมหลักฐานประกอบด้วย เลื่อยที่ใช้ตัดชิ้นส่วน เสื้อผ้าที่ใส่ในวันก่อเหตุ ถุงมือ กระเป๋าใส่ของสีดำ และสีน้ำตาล 3 ใบ โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง แมคบุ๊กของผู้ตาย 1 เครื่อง ขวานและมีดที่ใช้ในการฆาตกรรม
พร้อมนำไปชี้จุดที่นำศพไปฝังที่ตอม่อใต้ทางด่วนรามอินทรา เมื่อขุดลงไปพบถุงดำหลายใบถูกฝังอยู่ ภายในพบว่าเป็นชิ้นส่วนมนุษย์ถูกตัดเป็น 7 ส่วน โดยใบแรก เป็นท่อนแขนซ้าย ใบที่สอง ส่วนหัว ใบที่สาม ส่วนขาซ้าย ตั้งแต่หัวเข่า ใบที่สี่ ส่วนแขนขวา ข้อศอกลงมา ใบที่ห้า ส่วนขาขวา หัวเข่า ใบที่หก ส่วนลำตัว ต้นคอถึงเอว และใบที่เจ็ด ส่วนท่อนล่าง เอวถึงหัวเข่า
หลักฐานและคำรับสารภาพครบหมด!!

รับสิ้น-วางแผนนาน 3 เดือน
ขณะที่จากการสอบปากคำนายชาญวิทย์ เบื้องต้นไม่มีท่าทีสะทกสะท้อนอะไร พร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมบอกอีกว่า นาทีที่ตำรวจเคาะประตู เปิดเข้ามาก็รู้แล้วว่าเกม จริงๆ รู้ตั้งแต่แรกแล้วเพราะทางอพาร์ตเมนต์โทรศัพท์เข้ามาขอเช็กระบบไฟ เมื่อเข้ามาแล้วก็เห็นรอยดิน ที่ไม่น่าใช่แม่บ้าน ก็คิดไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
พร้อมยังพูดติดตลกว่ายังเรียนอยู่ และมีสอบ แต่คงไม่ได้ไปอีกแล้ว
ขณะที่คำสารภาพของนายชาญวิทย์นั้นสรุปได้ว่า ได้คบหากับ น.ส.อรนันท์มาประมาณปีกว่า แต่ไม่ได้เป็นที่เปิดเผย เพราะตนมีภรรยาอยู่แล้ว
ต่อมาระยะหลัง น.ส.อรนันท์เริ่มตีตัวออกห่าง มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม จึงคิดว่างแผนจะลงมือฆ่า น.ส.อรนันท์มานานกว่า 3 เดือน ทยอยเตรียมขุดหลุมฝังศพประมาณเดือนกว่า ซื้อมีด เลื่อย รวมถึงน้ำยาล้างห้องน้ำมาเก็บไว้ที่ท้ายรถ
กระทั่งวันเกิดเหตุ 28 กันยายน นัดเจอกับ น.ส.อรนันท์ย่านซอยลาซาล ก่อนที่จะเข้ามาเปิดห้องพักที่อพาร์ตเมนต์ดังกล่าว ซึ่งเปิดให้เช่ารายวัน โดยตนเช่าไว้เป็นเวลา 7 วัน บอกกับ น.ส.อรนันท์ว่าจะได้มาเคลียร์ใจกัน
พอตกกลางคืน จึงอาศัยจังหวะที่ น.ส.อรนันท์นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ ใช้มีดปักเข้าที่บริเวณลำคอจนลมฟุบ และกระหน่ำแทงอีกหลายครั้งจนมั่นใจว่าเสียชีวิต ก่อนที่จะลากศพเข้าไปไว้ในห้องน้ำ
พร้อมระบุว่าคืนดังกล่าวกลับไปนอนพักที่บ้านของตนเอง ย่านรามอินทรา
ต่อมาวันที่ 29 กันยายน จึงกลับมาที่ห้องดังกล่าวเพื่อลงมือหั่นศพ น.ส.อรนันท์ โดยเริ่มหั่นชิ้นส่วนแขนและขาก่อน และชิ้นส่วนอื่นๆ รวม 7 ชิ้น ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
จากนั้นคืนวันที่ 30 กันยายน จึงนำศพใส่กระเป๋า และถุงดำถือลงจากห้อง ไปใส่ท้ายรถฮอนด้า ซิตี้ สีขาว ฎล 8211 กรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปฝังไว้ที่ใต้ทางด่วนรามอินทรา
ส่วนมีดและเลื่อยรวมถึงทรัพย์สินของผู้ตาย นำไปโยนทิ้งคลองบางขวด กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 1 ตุลาคม กลับมาที่เกิดเหตุ จนถูกจับกุมดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้การว่าวิธีการฆาตกรรมและหั่นศพนั้นดูมาจากภาพยนตร์และซีรีส์ต่างประเทศ แล้วนำมาปรับใช้ ขณะที่สาเหตุที่ลงมือเพราะรัก น.ส.อรนันท์มาก จึงกลายเป็นความแค้นเมื่อถูกตีตัวออกห่าง
ระบุว่าสำนึกผิดและอยากขอโทษครอบครัวของผู้ตาย
เป็นคำสารภาพจากปากของฆาตกร!!

ญาติเหยื่อจี้โทษประหาร
สําหรับในเรื่องของคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รุดสอบสวนด้วยตัวเอง พร้อมแถลงว่าสาเหตุที่สามารถจับกุมคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากแม่บ้านของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ แอทเอส 115 เรสซิเดนซ์ แจ้งตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ ว่ามีความผิดปกติภายในห้อง 402 จากกลิ่นคาวเลือด และพบน้ำยาล้างห้องน้ำจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจนเชื่อว่าน่าจะเกิดเหตุฆาตกรรม ทั้งพยานแวดล้อมและภาพจากวงจรปิด และเฝ้าสังเกตการณ์จนจับกุมผู้ต้องสงสัยได้สำเร็จ
ขณะที่เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และซ่อนเร้น ทำลาย เคลื่อนย้ายศพและทำลายหลักฐาน
พร้อมคุมตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมคัดค้านการประกันตัว จากนั้นคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำกลางสมุทรปราการทันที
ด้านนางรัชนี ภูคงน้ำ แม่ผู้ตาย ระบุอยากเจอหน้าฆาตกร อยากสอบถามว่าเหตุใดจึงลงมือกับลูกสาวขนาดนี้ พร้อมระบุว่าลูกสาวเคยเล่าให้ฟังเมื่อหลายเดือนก่อนว่า รู้จักนายชาญวิทย์ที่มีครอบครัวอยู่แล้ว เข้ามาจีบ และตามตื๊อ จนเกิดความรำคาญ ซึ่งตนเตือนลูกให้ตีตัวออกห่าง จึงทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา น.ส.อรนันท์ไม่ได้สุงสิงกับนายชาญวิทย์อีก
นายอร่าม นราทร บิดาของผู้เสียชีวิต เผยว่า อยากให้กฎหมายลงโทษให้ประหารชีวิต เพราะการที่ฆาตกรสารภาพผิดเนื่องด้วยจำนนต่อหลักฐาน ไม่ได้สารภาพผิดเพราะจากสามัญสำนึก
“อยากให้ประเทศนี้จริงจังกับโทษประหารชีวิต คือตัดสินแล้วก็ประหารเลย ไม่ใช่เอาไปใส่คุกไว้ รอวันรับอภัยโทษ ได้รับการลดโทษทุกปี จนออกมาใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ถ้าถึงวันนั้น คนทั่วไปก็ไม่รู้ว่าคนคนนี้เคยต้องโทษคดีฆ่าคน แล้วเกิดฆาตกรคนนี้ไปก่อเหตุฆ่าคนอีกใครจะรับผิดชอบ”
เป็นข้อเรียกร้องจากฝั่งผู้สูญเสีย ขณะที่กระบวนการยุติธรรมต้องดำเนินต่อไป และรอดูว่าจะมีบทสรุปของคดีอย่างไร!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022