ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 กันยายน - 6 ตุลาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
จากโดรนเดี่ยว…กลายเป็น
‘กองทัพปีศาจโดรนกลางหาว’
“สงครามโครน” หรือ Drone Warfare กำลังเป็นแนวโน้มของโลก
โดยได้รับการตอกย้ำจากสงครามยูเครนที่มีการใช้โดรนมากมายหลายประเภทในการทำลายล้างกันและกัน
นอกจากนี้ เราก็เริ่มเห็นเทคโนโลยีที่พัฒนาให้ไม่เพียงแต่มี “โดรนไร้คนขับ” ที่ทิ้งระเบิดใส่ฝ่ายศัตรูได้เท่านั้น
หากแต่ยังมี “เรือรบไร้คนขับ”
และ “โดรนทำลายทุ่นระเบิดใต้น้ำ” ที่กำลังอยู่ในขั้นทดลองอย่างคึกคักอีกด้วย
ตัวเลขทางการเมื่อสองปีก่อนแจ้งว่าทุกวันนี้มีโดรนหรือ Unmanned Aerial Vehicles (UAV) ที่ใช้เพื่อการสู้รบนั้นมีกว่า 20,000 ลำทั่วโลก
วันนี้ผมเชื่อว่ามีจำนวนสูงกว่านั้นหลายเท่า
และต่อแต่นี้ไปจะไม่ใช่เป็นการใช้โดรนสงครามแบบเดี่ยวๆ อีกต่อไป
หากแต่จะเป็น “กองทัพโดรน” กลางหาวที่พร้อมจะบุกจู่โจมฝ่ายตรงกันข้ามกันอย่างหนักหน่วงและรุนแรงอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ในปี 2020 อเมริกาใช้โดรนสังหารผู้นำทางทหารของอิหร่าน Qasem Soleimani มาแล้ว
และต่อมา เราเห็นโดรนเปลี่ยนโฉมหน้าแห่งสงครามตั้งแต่ในสนามรบที่ซีเรียตลอดไปถึงอาเซอร์ไบจาน, ลิเบีย และเยเมน
วันนี้มันแสดงอภินิหารเหนือสมรภูมิยูเครนอย่างคึกคัก
แต่ก่อนนี้ ประเทศที่มีความสามารถในการผลิตโดรนเพื่อใช้ทางทหารมีไม่กี่ประเทศ
แต่วันนี้กองทัพของหลายประเทศสามารถสร้างโดรนเพื่อทำสงครามมากขึ้นทุกขณะ
ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ, จีน, อิสราเอล, รัสเซีย, ตุรกี, อิหร่าน รวมถึงไต้หวัน
และมันก็กำลังจะกลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าซื้อขายมหาศาล
เชื่อกันว่าอีกไม่นานงบประมาณทางทหารของหลายประเทศสำหรับโดรนเพื่อการสู้รบจะสูงกว่าการผลิตรถถังเพื่อทำสงครามด้วยซ้ำไป
เหมือนที่กองทัพเรือหลายประเทศปรับตัวด้วยการลดจำนวนเรือรบขนาดใหญ่มาเป็นเรือรบขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวสูงกว่าและมีประสิทธิภาพของการทำงานดีกว่า
ที่น่ากลัวก็คือโดรนที่สามารถสอดแนม, หาข่าวและทิ้งระเบิดได้ด้วยนั้นไม่เพียงแต่เป็นอาวุธใหม่ของกองทัพประเทศต่างๆ เท่านั้น
แต่ผู้ก่อการร้ายและผู้ต้องการก่อความวุ่นวายไปทั่วโลกก็สามารถเข้าถึงโดรนเพื่อการรบพุ่งได้เช่นกัน
เป็นที่รู้กันว่ากลุ่มก่อการร้ายบางกลุ่มเพียงแค่ซื้อโดรนพลเรือนปกติมาต่อเติมเสริมใส่อุปกรณ์ไม่กี่ตัวก็สามารถใช้ทิ้งระเบิดและทำลายเป้าหมายที่ต้องการได้
โดรนจึงเป็นดาบสองคมที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ Artificial Intelligence (AI) ที่อาจจะสร้างเพื่อสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
แต่ขณะเดียวกันมันก็สามารถถูกนำไปใช้เพื่อทำลายล้างและเข่นฆ่าผู้คนอย่างไร้ความปราณีเพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัวหรือเฉพาะกลุ่มได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น : ผู้ใช้มีความตระหนักในสถานการณ์เพียงพอที่จะตัดสินใจว่าจะใช้กำลังหรือไม่?
อาวุธมีความเสี่ยงต่อการแฮ็กหรือไม่?
หากโดรนสร้างความเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ ผู้คนจะรับผิดชอบความเสียหายนั้นได้อย่างไร?
พลเรือนจะได้รับการคุ้มครองได้อย่างไร?
ก็เพราะผู้คนสามารถเพิ่มเสริมเติมแต่งอุปกรณ์ที่ทำงานได้ในหลายๆ รูปแบบจนกลายเป็นอาวุธที่อันตรายยิ่ง จึงเกิดความกังวลเพิ่มเป็นทวีคูณ
แต่จะว่าไปแล้ว แนวคิดของอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ไม่ใช่เพิ่งเกิดเมื่อเร็วๆ นี้
ย้อนกลับไปยุคแรกของโดรน
เชื่อกันว่า “โดรน” ตัวแรกถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1896 หรือ 124 ปีมาแล้ว
แต่สมัยนั้นเขาไม่ได้เรียกว่าโดรน
ปีนั้น อัลเฟรด โนเบล ซึ่งมีชื่อเสียงในการคิดประดิษฐ์ไดนาไมต์ เปิดตัวจรวดที่มีกล้องติดอยู่ ในสิทธิบัตรของเขา
เขาเรียกมันว่า “โหมดที่ได้รับการปรับปรุงในการรับแผนที่ภาพถ่ายและการวัดโลกหรือพื้นดิน”
แต่เอาเข้าจริงๆ ภาพถ่ายทางอากาศครั้งแรกโดยใช้วิธีนี้เกิดขึ้นในปีต่อมา
มันเกิดขึ้นหลังจากที่อัลเฟรด โนเบล เลยเสียชีวิตแล้ว
หลังจากนั้น กว่าที่จะมี “โดรนสมัยใหม่” ตัวแรกก็ต้องใช้เวลาอีกสองสามทศวรรษ
นั่นคือการปรากฏตัวของประดิษฐกรรมในปี 1935
ที่รู้จักในชื่อเครื่องบิน De Havilland DH.82B
หรือ Queen Bee ซึ่งเริ่มใช้การเปรียบเทียบเป็น “ผึ้ง” อันเป็นที่มาของคำว่า “โดรน”
เป็นผลงานของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักรโดยใช้เป็นวิธีฝึกนักบินให้ต่อสู้กับศัตรู
ออกแบบเป็นโดรนบังคับวิทยุขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับการฝึกยิงเป้าหมาย
ต่อมา แบบจำลองโดรนรุ่นนี้ถูกกองทัพสหรัฐลอกเลียนแบบเมื่อพลเรือเอก William Harrison Standley ซึ่งเคยเห็น Queen Bee ที่ทำงานในสหราชอาณาจักรได้นำความรู้ดังกล่าวกลับคืนสู่รัฐต่างๆ
เพราะเรียกแบบจำลองของเขาว่า “โดรน” เพื่อแสดงความเคารพต่อ Queen Bee ดั้งเดิม และเป็นคนแรกที่รู้จัก UAV ว่าเป็นโดรน
จากนั้นโดรนก็กลายเป็นอุปกรณ์เชิงพาณิชย์แบบที่เรารู้จักในปัจจุบัน
โดรนสมัยใหม่มาไกลมากตั้งแต่ UAV
ตัวแรกที่คิดค้นโดยกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร ใน 100 ปีที่ผ่านมา
ต่อมาก็มีเครื่องบินบังคับวิทยุลำแรกที่คิดค้นโดยนักแสดงชื่อเรจินัลด์ เดนนี่ ในปี 1941
ซึ่งต่อมาได้สร้างบริษัทที่สร้างและขายเครื่องบินเหล่านี้ให้กับกองทัพสหรัฐ
เช่นเดียวกับโดรนที่กองทัพอิสราเอลใช้เพื่อเอาชนะยุทธการ Jezzine กับกองกำลังซีเรียในปี 1982
จากจุดนั้น กองทัพสหรัฐอเมริกา อิสราเอล และสหราชอาณาจักร รวมถึงองค์กรอื่นๆ ที่พยายามสร้าง UAV สำหรับการใช้งานที่หลากหลาย
จนกระทั่งปี 2006 พลเรือนทั่วไปได้รับอนุญาตให้ใช้โดรนเป็นครั้งแรก
โดยแรกเริ่มได้รับอนุญาตให้ช่วยเหลือในการบรรเทาทุกข์หลังจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในอเมริกาในช่วงใกล้ๆ กันนั้น
วันนี้ กองทัพเรืออเมริกันกำลังกระโดดไปอีกก้าวหนึ่ง
ด้วยกำลังจะใช้ ‘เรือรบไร้คนขับ’ เสริมทัพรับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกแล้ว
โดยที่มีหน่วยที่เรียกว่ากองเรือผิวน้ำไร้คนขับที่หนึ่ง (Unmanned Surface Vessel Division One – USVDIV-1)
ซึ่งเป็นหน่วยรบทางทะเลที่ประกอบด้วยเรือรบไม่มีระบบน้ำ ไม่มีห้องน้ำ
เรือมีหน้าที่ล่องไปตามท่าเรือต่างๆ โดยมีการควบคุมของมนุษย์ให้เคลื่อนที่ไปยังจุดหมายอย่างปลอดภัยเท่านั้น
เรียกมันว่า ‘เรือโดรน’ หน่วยแรกของกองทัพเรือสหรัฐ
โดยการทำงานนั้นเรือไร้คนขับเหล่านี้มีทหารคอยควบคุมในระยะเริ่มต้น
และในอนาคตอันใกล้นี้ เรือเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทช่วยให้กองทัพเรือสหรัฐ สามารถลาดตระเวนในน่านน้ำอันกว้างใหญ่ 165 ล้านตารางกิโลเมตรของมหาสมุทรแปซิฟิกได้ดียิ่งขึ้น
เราอาจจะไม่ค่อยได้ยินข่าวนัก แต่วงในบอกว่าที่ผ่านมา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และจีน มีโครงการพัฒนาเรือไร้คนขับเพื่อเสริมทัพในน่านน้ำนี้เช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้บอกว่า “กองเรือผิวน้ำไร้คนขับ” อาจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพสหรัฐภายในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าก็เป็นไปได้
นั่นแปลว่า “โดรน” กำลังจะกลายเป็นอาวุธทั้งทางอากาศและทางน้ำในไม่ช้านี้
ดีหรือชั่วร้ายอย่างไรอยู่ที่มนุษย์จะใช้นวัตกรรมไปทางสร้างสรรค์หรือทำลายล้างกันเท่านั้น!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022