บางอย่างในความรักของเรา (26) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (26)

 

เราทั้งคู่ใช้เวลาตลอดวันอย่างคุ้มค่า หลังจากการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ที่พญาไท ผมพาโจดี้ไปยังพิพิธภัณฑ์ศิลปะอีกแห่งบริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ ที่นั่นเป็นอาคารเรือนไทยที่ถูกนำมาจากหลายสถานที่ด้วยกันก่อนจะประกอบเข้าเป็นเรือนหมู่ที่เก็บสะสมงานศิลปะของไทย

ผมเล่าให้โจดี้ฟังถึงประวัติของผู้ก่อตั้ง เขาเริ่มต้นด้วยการทำงานเป็นพ่อค้าผ้าไหมที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็เริ่มสะสมงานศิลปะและตัดสินใจใช้สถานที่แห่งนี้เป็นบ้านพักและที่แสดงงาน แต่แล้วในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในประเทศมาเลเซีย เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีความพยายามที่จะติดตามตัวเขาแต่ว่าไม่เป็นผล ไม่มีใครได้พบเห็นเขาอีก

การหายตัวของเขายังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ บ้างก็เล่าเรื่องราวของเขาไม่ต่างจากนวนิยายสายลับ บ้างก็เล่าเรื่องราวของเขาไม่ต่างจากนวนิยายชิงรักหักสวาท แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผู้เป็นเจ้าของได้หายสาบสูญไปทิ้งไว้เพียงสถานที่แห่งนี้และบริษัทของเขาที่ยังคงดำเนินงานเกี่ยวกับผ้าไหมและงานศิลปะตราบจนทุกวันนี้

หลังออกจากพิพิธภัณฑ์ ผมชวนโจดี้ข้ามคลองแสนแสบไปยังชุมชนมุสลิมที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ในชุมชนนั้นยังมีชาวมุสลิมโดยเฉพาะผู้หญิงที่ทำงานเกี่ยวกับการทอผ้า

ผมบอกโจดี้ว่าพวกเขาเป็นมุสลิมเชื้อสาย “จาม” อันเป็นมุสลิมอีกกลุ่มหนึ่งที่แตกต่างจากมุสลิมแถบอื่น มีชุมชนมุสลิมจามขนาดใหญ่ที่อยุธยาและที่ประเทศกัมพูชา

มีตำนานเล่าว่าชายผู้เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ข้ามคลองมาเช่นเดียวกับเราในเช้าวันหนึ่ง และหลังจากเขาเห็นฝีมือการทอผ้าไหมของหญิงชาวมุสลิมที่นี่ เขาก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับผ้าไหม

แต่นั่นก็เป็นเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่ง เราไม่มีทางสัมภาษณ์ผู้เป็นเจ้าของถึงที่มาที่ไปอย่างชัดเจนได้อีกแล้ว เขาได้กลายเป็นตำนาน ตำนานแห่งการจากไปพร้อมกับปริศนานานา

 

โจดี้ฟังเรื่องราวเหล่านี้จากผมด้วยความสนใจ และหลังจากที่เธอเสร็จสิ้นการพูดคุยกับหญิงชาวมุสลิมคนหนึ่ง พวกเราก็แวะที่ร้านชำเล็กๆ ในชุมชน ผมสั่งน้ำส้มขวดให้เธอ ในขณะที่ตนเองร้องขอกาแฟเย็น พวกเราวนหลอดพลาสติกในแก้วในบ่ายวันนั้นท่ามกลางเรือประจำทางที่แล่นผ่านไปมา

“คุณมีความรู้ดีมากๆ เลย ในหลายเรื่องด้วย ฉันโชคดีมากที่ได้เจอคุณและได้คุณเป็นคนนำเที่ยวในวันนี้ คุณได้ความรู้มากมายเหล่านี้มาจากไหน?”

“ผมได้จากการอ่าน” ผมตอบโจดี้ “ผมใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยโดยแทบจะอยู่ในหอสมุดของมหาวิทยาลัยตลอดเวลา”

“น่าสนใจมาก ฉันจำได้ว่าตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา ฉันแทบไม่เคยผ่านเข้าไปในหอสมุดเลย”

“ผมมีเหตุผลของตนเอง การหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือแบบนั้น” ผมตั้งใจว่าจะเล่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์นี้ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ

“จากประสบการณ์ที่ฉันมีต่อคุณ ถ้าฉันกลับไปอัมสเตอร์ดัม ฉันจะแวะไปหอสมุดและห้องสมุดให้มากกว่านี้”

“คุณอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม? ผมได้ข่าวว่าที่นั่นกัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย และเราสามารถสูบมันได้อย่างเสรี”

โจดี้หัวเราะ “ใช่ นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ฉันประหลาดใจนะที่คุณสนใจในเรื่องนี้ อันนี่จริงอัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่น่าสนใจ เรามีตลาดดอกไม้ขนาดใหญ่ เป็นเมืองที่ผู้คนใช้จักรยานกันอย่างแพร่หลาย ไม่นับว่าศิลปะแบบเฟลมลิช ภาพของเรมบรันดท์ ภาพของฟอนก๊อก มากมายนะถ้าคุณสนใจในสิ่งเหล่านั้น กัญชานั้นคุณเอาไว้สูบเวลาว่างนะ นั่นเป็นสิ่งที่คุณไว้ท้ายๆ ของการสำรวจได้”

ผมพยักหน้ารับ “คุณอยู่ชั้นปีไหนแล้ว?”

“ฉันอยู่ในชั้นปีที่สอง แต่อย่างที่ฉันเล่าให้คุณฟังว่าฉันเรียนวิชาเอกในสาขาประวัติศาสตร์ศิลป์ แต่วิชาโทของฉันคือสาขามานุษยวิทยา นั่นทำให้ฉันสนใจในมนุษย์และหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์”

“แล้วนี่คุณไม่กลับไปเรียนหรือ มหาวิทยาลัยของคุณยังไม่เปิดเรียนอีกหรือ” ผมนับเดือนในใจ นี่น่าจะเป็นต้นฤดูหนาวในยุโรป และน่าจะเป็นช่วงเปิดภาคการศึกษาของสถานศึกษาในดินแดนนั้นด้วย

“ไม่ ปีนี้เป็นปีว่างของฉัน คุณรู้จักปีว่าง หรือ Gap Year ไหม?”

ผมสั่นศรีษะ “ไม่เลย”

“Gap Year หรือปีว่าง คือการใช้เวลาหนึ่งปีหรือมากกว่านั้นในช่วงศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือก่อนเข้ามหาวิทยาลัยออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยหรือแสวงหาประสบการณ์ไม่คุ้นเคย มีความเชื่อกันว่าการเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็กเป็นงานหนักและเราควรพักผ่อนสักครั้งก่อนการเข้ามหาวิทยาลัย ที่จริงฉันควรพักเดินทางตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ว่าแม่ของฉันไม่สบาย ฉันเลยเข้าเรียนปีหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนจะใช้ปีนี้ให้เป็น ‘ปีว่าง’ ของชีวิต”

ผมเพิ่งรู้ว่าโจดี้อยู่ชั้นเรียนเดียวกับผม เป็นมารยาทที่เราไม่ควรถามอายุของสุภาพสตรี แต่จากเรื่องราวที่เธอเล่า เธอน่าจะมีอายุไม่ห่างจากผม ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนของผมกำลังต่อสู้กับเกรดการเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายและกำลังหมกมุ่นกับการเรียนจบให้เร็วที่สุดเพื่อหางานดีๆ ทำ นักศึกษาจากอีกโลกหนึ่งกลับมองการเรียนในรูปแบบของการเรียนรู้ เรียนจบเมื่อพร้อม และระหว่างทางจงแสวงหาทุกสิ่งที่จะทำให้คุณมีความรู้อันหลากหลาย ผมคิดคำขวัญและอุดมการณ์เหล่านั้นเมื่อเครื่องดื่มในแก้วของผมหมดลงพอดี

“คุณอยากเห็นชีวิตของนักศึกษาในประเทศเราไหม มันน่าจะแตกต่างจากชีวิตของนักศึกษาในประเทศคุณมากพอควร เอาจริงๆ อาจไม่น่าสนใจเลยก็ได้สำหรับคุณ แต่ไม่ไกลจากนี้มีมหาวิทยาลัยชั้นนำของเรา ผมพาคุณไปเที่ยวชมได้หากคุณอยากจะเดินเล่นสักเล็กน้อยก่อนกลับสู่ที่พัก”

 

ผมพาโจดี้ข้ามสะพานหัวช้าง เดินตัดสี่แยกไปจนถึงบริเวณโรงเรียนเก่าของผม ผมหยุดชั่วครู่ที่บริเวณป้ายรถประจำทาง มองกลับเข้าไปในอาคารโรงเรียน วินาทีนั้นผมคิดถึงปิ่นอีกครั้งหนึ่ง สนามหน้าโรงเรียนที่เราเดินเคียงคู่กัน ซ้ายมือถัดไปนั้นเป็นโรงอาหาร อาคารเรือนเทา อาคารเรียนตึกที่หนึ่ง ภาพในอดีตระหว่างผมกับปิ่นผุดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง มีความทรงจำมากมายเหลือเกินในระหว่างผมกับเธอ

เราทั้งคู่เดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย ความร่มรื่นของต้นจามจุรีช่วยลดความร้อนอบอ้าวจากถนนพญาไทลงได้บ้าง ผมซื้อน้ำเปล่าสองขวดจากรถเข็นด้านนอกมหาวิทยาลัย แทนการเดินเตร่ไปมา ผมชวนโจดี้นั่งเล่นที่บริเวณสระน้ำ มีนิสิตกลุ่มหนึ่งเตะบอลแบ่งข้างแบบไม่จริงจังไปมาอยู่ที่สนามกีฬา มันเป็นบ่ายวันหนึ่งที่เอื่อยเฉื่อยและชวนให้เกียจคร้านอย่างยิ่ง

พวกเรานั่งอยู่ริมสระน้ำ จ้องมองปลาในบ่ออยู่ชั่วครู่ ผมเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบลง

“หลังจากประเทศไทย คุณมีแผนจะไปไหนต่อ คุณเหลือเวลาท่องเที่ยวอีกนานไหม?”

“ห้าเดือน” โจดี้กางนิ้วมือของเธอออกมา “ฉันอยากไปอินเดียนะ แต่มีคนบอกว่าเวลาเท่านี้ไม่น่าจะเพียงพอ ไม่รู้สิ อาจเป็นลาว มาเลเซียหรืออินโดนีเซีย หมู่เกาะทั้งหลายก็น่าสนใจนะ”

“คุณไม่สนใจฮ่องกงหรือญี่ปุ่นหรือ” ผมเอ่ยถึงสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับคนไทยโดยยกเว้นยุโรปเพราะโจดี้มาจากที่นั่น

“ไม่ละ ที่เหล่านั้นทั้งที่พักและค่าอาหารแพงเกินไปสำหรับเงินเก็บของฉัน การเดินทางครั้งนี้ฉันเก็บเงินตั้งสามปี และหวังว่าจะพอมีเงินเหลือสำหรับการกลับบ้านและซื้อของฝาก ดังนั้น ฉันคงไปได้แต่ประเทศเล็กๆ แถบนี้”

แม้ผมจะล่วงรู้มาก่อนว่านักท่องเที่ยวหนุ่มสาวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเที่ยวที่บ้านเรา พวกเขาล้วนใช้เงินเก็บของตนเอง แต่โจดี้เป็นคนแรกที่ผมได้เจอและมีบทสนทนาด้วย ผมนึกถึงความพยายามของตนเองที่จะแปลหนังสือเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของชีวิต

และเมื่อนึกเช่นนั้นผมก็รู้สึกใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น

 

ราวครึ่งชั่วโมงที่พวกเรานั่งโดยไม่มีบทสนทนา ครั้นแล้วผมก็ชวนโจดี้กลับสู่ที่พัก

ในครานี้ผมชวนเธอข้ามถนนและนั่งรถประจำทางแทน เมื่อถึงถนนผ่านฟ้า ผมก็พาเธอลงเดินตัดออกตามตรอกและซอยจนถึงที่พัก มันเป็นเวลาเย็นมากแล้ว และผมเตรียมตัวเอ่ยลาเธอเมื่อส่งเธอถึงที่พัก แต่แล้วเธอกลับชวนผมขึ้นไปเที่ยวที่ห้องของเธอ

“ฉันมีหนังสือหลายเล่มที่อ่านจบแล้วและอยากมอบให้คุณเป็นการตอบแทนความน้ำใจ”

เมื่อขึ้นไปถึงห้องของเธอ โจดี้ก็จูบผม เธอโอบกอดผมอย่างแน่นก่อนที่เราทั้งคู่จะหล่นลงบนเตียงในห้องอันคับแคบแห่งนั้น

ราวครึ่งชั่วโมงถัดมาผมก็มีเพศสัมพันธ์กับเธอ เป็นการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในรอบหลายปี ผมทำทุกอย่างด้วยความขัดเขิน แต่ก็ผ่านมันไปได้

โจดี้หลับลงหลังจากนั้น ท้องฟ้าเบื้องนอกหน้าต่างเก่าโทรมของโรงแรมบอกให้รู้ถึงความมืดในยามค่ำ

ผมนอนลืมตาถามไถ่กับตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าผมเป็นประสบการณ์หนึ่งในการเดินทางของโจดี้หรือไม่ •