‘อาฮุย’ ปรากฏกาย พร้อม ซากศพ โจรดอกเหมย เบื้องหน้า ‘ลี้คิมฮวง’/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

‘อาฮุย’ ปรากฏกาย

พร้อม ซากศพ โจรดอกเหมย

เบื้องหน้า ‘ลี้คิมฮวง’

การปรากฏขึ้นของ “อาฮุย” มักอยู่ในสถานการณ์พิเศษเสมอ ไม่เพียงแต่มองจากด้านของลี้คิมฮวง ไม่เพียงแต่จะมองจากด้านของบรรยากาศโดยรอบอันปกคลุมอยู่

กล่าวสำหรับลี้คิมฮวงมันอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงไร

ว. ณ เมืองลุง ถอดความออกมาว่า ตอนนั้นฝ่ามือเหล็กของเตี่ยเจี้ยอั้วกดไปที่ชายโครงกระดูกอ่อนแล้ว ความเจ็บปวดเยี่ยงนี้นับว่ามนุษย์ยากยิ่งที่จะทนทานได้ มันแม้ปวดจนเหงื่อแตกโซมแต่สีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน

ยังคงกล่าวอย่างยิ้มแย้มดังเดิม

บรรดาผู้คนที่ยืนอยู่บนบันไดศิลาหน้าห้องโถงใหญ่ มีบ้างไม่อาจตัดใจทนดูต้องเบือนหน้าหนี ที่ผู้กล้าหาญในวงพวกนักเลงยกย่องกันก็คือ มีความกล้า

ความกล้าที่ลี้คิมฮวงแสดงมาในตอนนี้นับว่ามิใคร่เคยเห็นเลยจริงๆ

ขณะเวลานั้นเองมีเสียงคนดังขึ้นที่หน้าห้องโถง “ลิ่มโกวเนี้ย ท่านมาจากที่ใด ท่านนี้เป็นใคร”

แลเห็นลิ่มเซียนยี้เสื้อผ้ายุ่งเหยิง มวยผมหลุดลุ่ยสยาย เดินอย่างเร่งรีบเข้ามา

 

พลิกไปอ่านสำนวนแปล น.นพรัตน์ เห็นลิ้มเซียนยี้เสื้อผ้ายับย่น มวยผมยุ่งเหยิง เดินเข้ามาจากเบื้องนอกอย่างรีบร้อน

ที่ข้างกายยังติดตามด้วยบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง

ท่ามกลางฤดูกาลอันเหน็บหนาวบนร่างบุรุษหนุ่มเพียงสวมเสื้อผ้าอันบางเบา แต่แผ่นหลังยังตั้งตรงคล้ายกับโลกไม่มีเรื่องราวใดบังคับให้เขางอเอวลงได้

ใบหน้าบุรุษหนุ่มคล้ายแกะสลักจากหินฮวยกังเจี๊ยะอันแข็งแกร่ง

ทั้งดื้อรั้น เด็ดเดี่ยว เย็นชา แต่ก็แฝงเสน่ห์ดึงดูดที่ยากต่อต้าน แข็งขืนชนิดหนึ่ง บนไหล่บุรุษหนุ่มยังแบกซากศพซากหนึ่ง

อาฮุย อาฮุย ไฉนมาแล้ว

ลี้ชิ้มฮัวพลุ่งพล่านใจขึ้นมา ไม่ทราบเป็นความแตกตื่นหรือยินดี แต่แล้วเขาก็สะบัดหน้าออกไป ทั้งนี้ เขาไม่ต้องการให้อาฮุยเห็นสภาพของเขา

ลี้ชิ้มฮัวไม่ต้องการให้อาฮุยเสี่ยงอันตรายลงมือเพราะเขา

 

ฉากทัศน์นี้ “โกวเล้ง” ดำเนินการอย่างแยบยล ฉายสะท้อนทั้งด้านของลี้คิมฮวง และด้านของอาฮุยออกมาอย่างชัดเจน

ขอให้ศึกษาผ่านสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง

อาฮุยยังคงแลเห็นลี้คิมฮวง ใบหน้าที่กระด้างเย็นชา แกร่งกร้าวทะนง พลันแปรเปลี่ยนเป็นพลุ่งพล่าน

ก้าวอาดๆ เข้าไป

เตี่ยเจี้ยอั้วมิได้ขัดขวางเนื่องเพราะมันได้เคยลิ้มรสเพลงกระบี่ของบุรุษหนุ่มผู้นั้นมา ความหวาดกลัวยังคงไม่คลายไปจากใจ

แต่กงซุนม่อฮุ้นกลับมิทราบ ถลันปราดเข้าขวางหน้าพร้อมทั้งตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร”

“ท่านเป็นใคร ต้องการอย่างไร” อาฮุยส่งเสียงสวนคำ

“เราต้องการสั่งสอนเจ้า”

ในเสียงตวาดลงมือดุจสายฟ้า

 

จําเป็นต้องนำเอาทั้งสำนวน ว. ณ เมืองลุง และสำนวน น.นพรัตน์ มาประชันเพื่อสะท้อนให้เห็นลักษณะรวบรัดอย่างยิ่งของ “โกวเล้ง”

ขอเริ่มจากท่านผู้อาวุโส ว. ณ เมืองลุง

ไม่มีคนลงมือขัดขวางมัน แต่นี่มิน่าประหลาดอะไร เนื่องเพราะเตี่ยเจี้ยอั้วกลัวแต่ว่าทั้งสองไม่ต่อยตีกันเท่านั้น

ชั้งชิกก็คิดแต่จะอาศัยมือผู้อื่นมาหยั่งตื้นลึกหนาบางของวิชาฝีมือบุรุษหนุ่ม

ส่วนลิ่มเซียนยี้เล่า นางมีแต่เบิ่งมองลี้คิมฮวงด้วยความแตกตื่นโดยไม่สนใจถึงผู้อื่นใดเลย สำหรับเล้งโซ่วฮุ้นคล้ายดั่งไม่มีกะใจไปเกี่ยวข้องเรื่องราวของผู้อื่นอีกแล้ว

ประหลาดที่ว่า อาฮุยถึงกับไม่หลบหลีก

เสียงโครมดังสนั่น หมัดของกงซุนม่อฮุ้นต่อยใส่ทรวงอกอาฮุยถนัดถนี่ อาฮุยแน่วนิ่งมิเคลื่อนไหวสักน้อยนิด

แต่ตัวกงซุนม่อฮุ้นเองกลับเจ็บปวดจนเอวงองุ้มลงไป

อาฮุยไม่เหลือบแลแม้สักแวบเดียว เดินเฉียดข้างกายมันไปที่เบื้องหน้าลี้คิมฮวงกล่าวว่า “มันเป็นสหายของท่าน”

ลี้คิมฮวงยิ้มพลางตอบ “ท่านคิดว่าข้าพเจ้าจะมีสหายเยี่ยงนี้หรือไม่”

 

สํานวนแปล น.นพรัตน์ ถอดออกมาว่า ในเสียงตวาดมันพลันลงมือ ไม่มีผู้ใดทัดทานมือสัมผัสเมฆ ทั้งนี้ เพราะเตี่ยเจี่ยหงียังกริ่งเกรงทั้งสองไม่ต่อยตีกัน

ฉั้งฉิกก็คิดยืมมือผู้อื่นหยั่งดูความตื้นลึกหนาบางของบุรุษหนุ่มผู้นี้

ลิ้มเซียนยี้เล่า นางเพียงมองดูลี้ชิ้มฮัวอย่างตื่นตระหนก ไม่สังเกตสนใจผู้อื่น สำหรับเล้งเซ่าฮุ้นคล้ายไม่มีกะใจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้อื่นอีก

ที่น่าประหลาด คือ อาฮุยกลับไม่หลบหลีก

ได้ยินเสียงโครม หมัดของมือสัมผัสเมฆต่อยถูกทรวงอกอาฮุย อาฮุยกระทั่งขยับเขยื้อนยังไม่ขยับเขยื้อน

มือสัมผัสเมฆกลับเจ็บปวดจนงอเอวลง

อาฮุยไม่เหลือบแลมือสัมผัสเมฆแม้สักแวบเดียว เดินผ่านข้างกาย เดินถึงเบื้องหน้าลี้ชิ้มฮัวกล่าวถามว่า “มันเป็นสหายของท่าน”

ลี้ชิ้มฮัวยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านเห็นว่าข้าพเจ้าใช่มีสหายเช่นนี้หรือไม่”

 

ย้อนกลับไปหาสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง ตอนนั้นกงซุนม่อฮุ้นคำรามด้วยโทสะและโถมเข้ามาอีกครั้ง ฟาดฝ่ามือใส่กลางหลังอาฮุยอย่างดุร้าย

อาฮุยพลันหันขวับกลับมา

เสียงโครมดังขึ้นอีกครั้ง กงซุนม่อฮุ้นถึงกับปลิวกระเด็นออกไปได้

สีหน้าผู้กล้าหาญต่างเปลี่ยนแปรไปในทันที มิว่าผู้ใดก็นึกไม่ถึง ม่อฮุ้นชิ่วอันมีเกียรติภูมิกระเดื่องเลื่องแผ่นดิน เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษหนุ่มไร้ชื่อเสียงเรียงนาม

ถึงกับกลายเป็นหุ่นหญ้าไปได้ ไม่อาจทนทานการจู่โจมแม้สักกระบวนท่าเดียว

แต่ชิ้งชิกกลับหัวร่อเสียงดังพลางกล่าว “สหายลงมือได้รวดเร็วยิ่ง นับเป็นคลื่นลูกหลังของวงพวกนักเลงจริงๆ วีรบุรุษย่อมกำเนิดในวัยฉกรรจ์”

มันประสานมือคารวะแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มสืบไป

“ข้าพเจ้าชั้งชิก มิทราบท่านมีชื่อแซ่ยิ่งใหญ่ว่ากระไร ยินยอมคบหาเป็นสหายกับชั้งชิกหรือไม่”

“ข้าพเจ้าไม่มีชื่อ และไม่ยินดีคบมิตรสหายเยี่ยงท่าน”

สีหน้าคนอื่นต่างแปรเปลี่ยน แต่ชั้งชิกยังคงแย้มยิ้มดั่งเดิม กล่าวต่อไป “บุรุษหนุ่มมีปากไวใจตรงจริงๆ แต่เสียดายกลับคบสหายผิดไป”

ตรงนี้แหละคือความแหลมคมยิ่งของ “สภาพการณ์”

 

เป็นสภาพการณ์ที่ ด้านหนึ่ง อันเป็นด้านของชั้งชิก กงซุนม่อฮุ้น เตี่ยเจี้ยอั้ว ปักธงลงความเห็นว่าลี้คิมฮวง คือโจรดอกเหมย

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง อาฮุยไม่ยินยอมเชื่อ

ได้ยินบทสรุปจากชั้งชิกเช่นนั้น อาฮุยถลึงจ้องมันแน่วนิ่ง ประกายตาที่แหลมคมคล้ายสามารถทะลวงเข้าสู่ดวงใจมันก็ปาน

ชั้งชิกรู้สึกมีความหนาวเย็นแผ่ซ่านจากกาย

ยิ่งเมื่อได้ยินคำยืนยันอย่างเห็นเด่นชัดเป็นรูปธรรม

ยิ่งเมื่อเห็นบุรุษหนุ่มคลายคนในซอกแขนออกมาพร้อมกับคำยืนยันอย่างหนักแน่นและมั่นคง “นี่จึงเป็นบ๊วยฮวยเต๋า”

หมู่ผู้มีฝีมือตระหนกขึ้นอีกครั้ง อดใจมิได้ต้องรายล้อมเข้าไปเป็นวงกลม