คุยกับทูต : โอเล็กซานเดอร์ ลีซัค 31 ปีอิสรภาพจากโซเวียต วันนี้ยูเครนเจอศึกยืดเยื้อกับรัสเซีย (2)

รายงานพิเศษ

ชนัดดา ชินะโยธิน

[email protected]

 

คุยกับทูต : โอเล็กซานเดอร์ ลีซัค

31 ปีอิสรภาพจากโซเวียต

วันนี้ยูเครนเจอศึกยืดเยื้อกับรัสเซีย (2)

“เรื่องราวล่าสุดเริ่มต้นขึ้นในปี 2014 เมื่อคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ของยูเครน ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเต็มใจที่จะอยู่กับยุโรปที่ก้าวหน้า อันตรงกันข้ามกับวิสัยทัศน์และการตัดสินใจของอดีตผู้ปกครองที่สนับสนุนรัสเซีย การปฏิวัติเพื่อศักดิ์ศรีปะทุขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการตัดสินใจอย่างกะทันหันของประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) ซึ่งไม่ลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับสมาคมทางการเมืองและเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป การประท้วงจึงเกิดขึ้น”

นายโอเล็กซานเดอร์ ลีซัค (Oleksandr Lysak) อุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐยูเครนประจำราชอาณาจักรไทย ชี้แจงถึงความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย

“ตำรวจฝ่ายรัสเซียปฏิบัติต่อผู้ประท้วงอย่างไร้ความปรานี ทำให้ประชาชนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ ปฏิกิริยาของชาวยูเครนต่อความโหดร้ายของตำรวจนั้นยิ่งใหญ่มาก ในที่สุด หลังการเผชิญหน้ากันอย่างนองเลือดและยาวนาน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2014 ประธานาธิบดียานูโควิชจึงได้หลบหนีไปยังรัสเซีย”

ทางด้านรัสเซีย เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน ก็ออกมาประณามว่า การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลยูเครน โดยถอดถอนยานูโควิช เป็นการรัฐประหารที่ผิดกฎหมาย และส่งทหารรัสเซียติดอาวุธมายังบริเวณคาบสมุทรไครเมียเกือบจะในทันที ในเดือนมีนาคม 2014

ด้วยแรงกดดันจากกองทหารรัสเซียที่เข้าประชิดและควบคุมคาบสมุทร รัฐสภาไครเมียจึงมีมติให้แยกตัวจากยูเครนและเข้าร่วมกับรัสเซีย จึงทำให้รัสเซียผนวกไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศได้สำเร็จ

นายโอเล็กซานเดอร์ ลีซัค (Oleksandr Lysak) อุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐยูเครนประจำราชอาณาจักรไทย

นับเป็นครั้งเดียวที่พรมแดนของประเทศในยุโรปมีการเปลี่ยนแปลงโดยกองกำลังทหารนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

“โดยไม่ยอมรับทางเลือกเสรีของประชาชนยูเครน รัสเซียเริ่มบุกยูเครนทางคาบสมุทรไครเมีย ปฏิบัติการเริ่มต้นวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2014 ก่อนการรัฐประหาร (coupe d’etat) ตามที่รัสเซียอ้าง วันที่นี้ได้ถูกจารึกไว้ในเหรียญ ‘สำหรับการกลับคืนมาของแหลมไครเมีย’ (For Return of Crimea) โดยชาวรัสเซีย เจ้าหน้าที่รัสเซียพยายามปิดบังการมีส่วนร่วม โดยพูดถึง ‘ชายชุดเขียวที่สุภาพ’ (the polite green men) แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่ากองทัพรัสเซียและกองกำลังพิเศษอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้”

คำว่า ชายชุดเขียวที่สุภาพ ถูกคิดค้นโดยกลุ่มแพทย์จากมอสโกซึ่งเดินทางมาผลัดเปลี่ยนในไครเมีย “พวกเขากำลังสร้างภาพลักษณ์ของทหารปลดแอกชาวรัสเซียที่สวมเครื่องแบบใหม่และติดอาวุธอย่างน่าเกรงขามเพื่อมาปกป้องเมืองและหมู่บ้านที่สงบสุข”

‘ชายชุดเขียวที่สุภาพ’ (the polite green men)

“ในเดือนเมษายน 2014 กลุ่มก่อการร้ายที่นำโดยพลเมืองรัสเซียและอดีตเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งสหพันธรัฐ (FSB) Igor Strelkov (a.k.a. Girkin) ได้ข้ามเขตการปกครองของแหลมไครเมียและยูเครน สองสามวันต่อมา พวกเขายึดอาคารรัฐบาลในสโลฟยานสค์ (Slovyansk) เมืองเล็กๆ ในดอนบาส (Donbas) เหตุการณ์นี้ได้จุดประกาย ก่อให้เกิดบทใหม่ของสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘สาธารณรัฐประชาชน’ ที่เมืองลูฮานสค์ (Luhansk) และโดเนตสค์ (Donetsk)”

“โฉมใหม่ของสงครามแปดปีของเรากับรัสเซียเริ่มต้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 ภายใต้ข้ออ้างเพื่อ ‘ปกป้องสิทธิของผู้ที่พูดภาษารัสเซียในดอนบาสให้พูดภาษารัสเซียได้’ และ ‘การหยุดยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต’ ทว่า สิ่งที่เรียกร้องนั้น คุ้มค่าแล้วหรือ”

“ข้อกล่าวหาเรื่องภาษารัสเซียในยูเครนไม่มีอะไรตรงกับความเป็นจริง แต่ความจริงเป็นในทางที่กลับกัน”

“ชาวยูเครนส่วนใหญ่พูดได้สองภาษา และเราภูมิใจกับสิ่งนั้น เราสามารถพูดภาษารัสเซีย หรือภาษายูเครน หรือพูดได้ทั้งสองภาษาอย่างคล่องแคล่ว โดยเล่นกับคำศัพท์ต่างๆ ทำให้การแสดงออกของเราสดใสขึ้น ความหลากหลายของภาษา ความศรัทธา และวัฒนธรรมที่แตกต่าง เป็นสมบัติอันแท้จริงของประเทศเรา ในสงครามที่ปลดปล่อยโดยรัสเซีย ภูมิภาคที่พูดภาษารัสเซียส่วนใหญ่มักได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดจากแรงระเบิดและขีปนาวุธของรัสเซีย และเป็นดินแดนภายใต้การควบคุมของรัสเซีย”

“รายงานของสหประชาชาติกล่าวว่าตั้งแต่เดือนมีนาคม 2014 ถึง 2018 จำนวนนักเรียนในไครเมียที่ถูกยึดครองนั้น มีชั้นเรียนภาษายูเครนลดลง 97% ส่วนในรัสเซียเมื่อปี 2010 มีประชากรเพียงสองล้านคนที่ระบุว่า ตนเองเป็นคนยูเครนและเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรของประเทศ”

“สำหรับโรงเรียนรัฐบาลในรัสเซียที่ชาวยูเครนสามารถเรียนรู้ภาษาแม่ของตนเองเป็นอย่างน้อยนั้น มีจำนวนโรงเรียนเป็นศูนย์ นั่นคือ ไม่มีเลย! เพราะในรัสเซีย ทุกคนมีสิทธิเดียวเท่านั้นคือ การอยู่อย่างเงียบงันสงบนิ่งโดยไม่ต้องพูดอะไร”

เรือนจำโอเลนิฟกา (Olenivka) ที่ถูกทำลาย ได้สังหารนักโทษทหารยูเครนหลายสิบนายที่ถูกจับ

การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา

“รัสเซียใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ทุกปีไปในการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งเป็นปฏิบัติการในยุคเก่า โดยมีเป้าหมายหลัก คือการทำให้ผู้ฟังอยู่ในภาวะแห่งความงุนงงสงสัยในข้อเท็จจริง สื่อรัสเซียได้สร้างข่าวปลอมขึ้นมามากมาย เช่น โควิด-19 ที่ว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา หรือเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 แต่อ้างว่าเป็นเครื่องบินของยูเครน จึงถูกขีปนาวุธรัสเซียยิงตกจากดินแดนที่กลุ่มกบฏครอบครองในประเทศยูเครน เป็นต้น การสร้างห่วงโซ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของ ‘ข้อเท็จจริง’ โดยผสมผสานความเป็นจริงกับเรื่องที่ประดิษฐ์ขึ้น ทำให้คนทั่วไปพูดว่า ทุกอย่างไม่เคยมีความชัดเจน”

นายโอเล็กซานเดอร์ ลีซัค กล่าวว่า

“หลายปีที่ผ่านมา การโฆษณาชวนเชื่อในทีวีช่วงไพรม์ไทม์ โดยเฉพาะรายการทอล์กโชว์ของรัฐบาลกลาง ทำให้ชาวยูเครนถูกลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอโดยผู้เชี่ยวชาญ, เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง, กองทัพ และ ฯลฯ ซึ่งต้องการสื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจว่ายูเครนไม่มีความหมาย รัฐบาลยูเครนเกิดจากความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์และไม่มีสิทธิ์ที่จะดำรงอยู่ เป็นต้น”

“ตัวอย่าง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 ณ สภาผู้แทนราษฎร หรือสภาดูมา (The State Duma) รองประธานรัฐสภารัสเซีย ปีเตอร์ ตอลสตอย (Petr Tolstoy) ได้เสนอให้แขวนคอเจ้าหน้าที่ยูเครนที่เสาไฟ”

“และเดือนมกราคม ปีนี้ Anton Krasovskii รองผู้อำนวยการฝ่ายกระจายเสียงภาษารัสเซียของ RT (สื่อที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลรัสเซีย) เรียกชาวยูเครนว่า ‘สิ่งมีชีวิตยูเครน’ ทั้งสัญญาว่าจะส่งกองทัพรัสเซียไปยังยูเครนและเผารัฐธรรมนูญของยูเครนที่ถนนสายหลักแห่งเคียฟ”

รัสเซีย ทูเดย์ หรือเรียกว่า อาร์ที-RT ของรัสเซีย ออกอากาศทั่วโลกด้วยภาษาอังกฤษตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยสโลแกนที่ว่า First 24/7 English-language news channel

“แต่ถ้าคุณอยู่ในรัสเซียและคาดหวังที่จะทราบปัญหาของรัสเซียจากสื่อท้องถิ่น ก็จะมีแต่ข่าวร้ายๆ ยิ่งกว่านั้น การประกาศตัวเลขการสูญเสียที่แท้จริงของรัสเซียเป็นเรื่องอันตราย ภายใต้กฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ รัสเซียได้กำหนดให้มีการเซ็นเซอร์ข่าวในรัสเซียอย่างเข้มงวด”

“ปี 2014 สื่อยูเครนส่วนใหญ่ถูกบล็อกในรัสเซีย รายการที่มีข้อจำกัดได้ทวีขึ้นอย่างรวดเร็วหลายปีก่อน และไม่นานหลังจากการรุกรานในภูมิภาคดอนบาส (Donbas) รัสเซียถึงกับปิดบังความสูญเสียที่เกิดขึ้นในกองทัพ”

“ตอนนี้ ในโซเชียลมีเดีย การโพสต์รูปภาพจากเมืองบูชา (Bucha) หรือมาริอูโปล (Mariupol) ซึ่งถูกทำลายโดยรัสเซีย หรือถ้อยคำใดอันเกี่ยวกับความสูญเสียที่แท้จริงของรัสเซียในสงครามครั้งนี้ถือเป็น ‘ผู้ฝ่าฝืน’ ซึ่งอาจต้องโทษจำคุกนานถึง 15 ปี นี่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า เสรีภาพในการพูด ในรัสเซีย”

“เหตุผลทั้งหมดของรัสเซียเป็นเพียงข้ออ้างในการเข้ายึดครองยูเครนและกำจัดชาวยูเครนในฐานะรัฐชาติ นั่นคือการโจมตีอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนภายในพรมแดนยูเครน การละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ บรรทัดฐาน พื้นฐาน และหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง”


เด็กร้องเพลงชาติยูเครนก่อนวิ่งการกุศลเพื่อสนับสนุนผู้พิทักษ์แห่งโรงงานผลิตเหล็กกล้า

องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO)

“เพื่อกันไม่ให้ยูเครนเข้าร่วมนาโต (NATO) เป็นหนึ่งในสาเหตุการรุกรานยูเครนของรัสเซีย แต่เป็นวิสัยทัศน์ที่ผิด แม้ยูเครนพร้อมที่จะละทิ้งความตั้งใจในการเข้าเป็นสมาชิก ก็ไม่ได้ช่วยในการยุติสงครามแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม รัสเซียกำลังได้รับผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม เมื่อสวีเดนและฟินแลนด์ประกาศความตั้งใจที่จะเข้าเป็นสมาชิกนาโต”

นาโต หรือองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ เป็นพันธมิตรทางการทหารในการป้องกันตนเอง ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1949 มีสมาชิกก่อตั้ง 12 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

“หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายได้ลงทะเบียนความเสียหายหรือการทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนมากกว่า 31,200 แห่ง รวมถึงอาคารและบ้านเรือนที่อยู่อาศัยมากกว่า 24,300 แห่ง ถนนและสะพาน สถานศึกษาประมาณ 1,500 แห่ง และสถาบันการแพทย์มากกว่า 240 แห่ง เครือข่ายน้ำและไฟฟ้ามากกว่า 3,100 แห่ง พลเมืองยูเครนเกือบ 800,000 คนสูญเสียบ้าน”

“ตัวเลขเหล่านี้ไม่รวมดินแดนที่ถูกยึดครองซึ่งเราไม่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้น ระดับการทำลายล้างที่แท้จริงนั้นมีจำนวนสูงกว่านี้มาก พื้นที่กว้างใหญ่ถูกขุดทำลาย แหล่งมรดกทางวัฒนธรรม 129 แห่ง และอาคารทางศาสนา 149 แห่งในยูเครนถูกทำลายหรือเสียหายจากการกระทำของรัสเซีย นี่แสดงถึงการก่ออาชญากรรมสงครามภายใต้อนุสัญญากรุงเฮกปี 1954 (1954 Hague Convention)”

“อาชญากรรมของรัสเซียในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ตามตัวอย่างล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมามีการโจมตีเรือนจำหมายเลข 210 โอเลนิฟกา (Olenivka) ดินแดนที่ถูกยึดครองชั่วคราวของภูมิภาคโดเนตสค์ และระเบิดได้ทำลายอาคารที่กักขังเชลยศึกชาวยูเครน เอกสารหลักฐานจำนวนมากพิสูจน์ถึงลักษณะการวางแผนของอาชญากรรมนี้โดยการกระทำของฝ่ายรัสเซีย”

“ในขณะที่การทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนและการปิดกั้นการอพยพของพลเรือนจากดินแดนที่ถูกยึดครองไปยังส่วนของยูเครนที่ควบคุมโดยรัฐบาล เครมลินได้ใช้การบังคับเนรเทศพลเมืองยูเครนไปยังดินแดนของรัสเซีย เบลารุส และไครเมียที่ถูกยึดครอง ข่าวรายงานว่าชาวยูเครนกว่า 2.45 ล้านคนถูกย้ายไปรัสเซียและไครเมีย เช่นเดียวกับเมื่อหลายศตวรรษก่อน ทุกวันนี้ รัสเซียเนรเทศชาวยูเครนซึ่งเป็นลูกหลานของเรา และอนาคตของเราจากเมืองต่างๆ ของยูเครนที่ถูกยึดครองไปยังดินแดนที่รกร้างว่างเปล่าที่สุดในรัสเซีย”

“รัสเซียพยายามเปลี่ยนจากกฎหมายระหว่างประเทศมาเป็นสิทธิของการใช้กำลัง รัสเซียต้องการกำหนดเจตจำนงของตนไปยังประเทศอื่นๆ บางครั้งก็ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นอาวุธ แต่บางครั้งก็ดื้อแพ่งด้วยการส่งทหารไปยังประเทศอื่น อย่างเช่น กรณีการปิดล้อมท่าเรือของยูเครน”

สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของยูเครน นางโอเลนา เซเลนสกี ภาพโดย New York Post

สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของยูเครน ในรัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกา

“เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของยูเครน นางโอเลนา เซเลนสกี (Olena Zelenska) ซึ่งขึ้นปกนิตยสารไทม์ส โดยไทม์สพาดหัวว่า ‘Her private war, first lady Olena Zelensky and the future of Ukraine.’ เดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้พบกับรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ แอนโทนี บลิงเคน (Antony John Blinken) ก่อนพบสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ นางจิล ไบเดน (Jill Biden) ตามคำเชิญ หลังก่อนหน้าเคยพบกันที่กรุงเคียฟ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม โดยนางโอเลนา เซเลนสกี เป็นภรรยาคนแรกของประธานาธิบดีที่พูดในรัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกา”

สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของยูเครน นางโอเลนา เซเลนสกี เป็นภรรยาของประธานาธิบดีคนแรก ที่พูดในรัฐสภาคองเกรส สหรัฐอเมริกา ภาพโดย Jabin Botsford-The Wahington Post

นายโอเล็กซานเดอร์ ลีซัค เสริมว่า

“เธอกล่าวขอบคุณสหรัฐอเมริกาที่ช่วยยูเครนในการต่อสู้กับผู้รุกรานชาวรัสเซีย ในขณะที่การต่อต้านรัสเซียนั้น ยูเครนจำเป็นต้องเพิ่มความสามารถในการป้องกันตนเอง และคาดหวังความช่วยเหลือทางทหารจากนานาชาติในรูปแบบของอาวุธยุทโธปกรณ์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เธอเรียกสงครามครั้งนี้ว่า เป็นเหมือน The Hunger Games ที่เด็กๆ ต้องเสียชีวิตจำนวนมาก”

“ยิ่งเราได้รับความเท่าเทียมกันในอาวุธหนักกับรัสเซีย เร็วเท่าใด ทหารและพลเรือนของยูเครนก็จะรอดชีวิตได้มากขึ้นเท่านั้น และสงครามก็จะยุติเร็วขึ้นเช่นกัน” •