เสฐียรพงษ์ วรรณปก : บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์ (9) ปาฏิหาริย์เปิดโลก

วันนี้จะขอยกประเด็น “ปาฏิหาริย์เปิดโลก” มาคิดเล่นๆ เย็นๆ ใจสักเล็กน้อย

ความเป็นมาก็ดังที่ชาวพุทธทราบกัน ประมาณ 7 ปีหลังตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา สั่งสอนให้ประชาชนละเว้นจากความเชื่อผิดๆ หลายประการด้วยกัน

ทรงเสนอคุณค่าแห่งชีวิตอย่างใหม่ ซึ่งสวนกระแสสังคมในยุคนั้น

เช่น ความดีความชั่วตัดสินด้วยการกระทำ มากกว่าเชื้อชาติหรือวรรณะ ที่เกิดจากพรหมัน (พระพรหม) ที่สามารถจับต้องได้ เป็นพรหมที่แท้และมีคุณค่าต่อชีวิตมากกว่า พรหมันที่คาดเดาเอา

ในประเด็นนี้ทรงเน้นไปที่ประสบการณ์ตรง ผู้ใดมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ประมาณมิได้ เรียกว่า เข้าถึงพรหม หรือ เป็นพรหมแท้จริง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นพรหมบนดิน มีประโยชน์กว่าคิดถึงพรหมบนฟ้า ว่าอย่างนั้นเถอะ

เรื่องการทำด้วยการฆ่า เช่น ฆ่าสัตว์บูชายัญ ที่คนสมัยนั้นนิยมทำกัน ก็ทรงสอนให้เข้าใจเสียใหม่ว่า อะไรที่อยู่บนพื้นฐานของการฆ่า การเบียดเบียน มิใช่ “บุญ” ที่แท้จริง

บุญที่แท้จริงคือการให้ชีวิต การไม่เบียดเบียนชีวิต

แล้วทรงสอนการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนคือการบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา อันจักนำไปสู่การหมดสิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง

การทำบุญแบบนี้ไม่จ่ายแม้แต่ดอลลาร์เดียว และไม่ต้องกักตุนดอลลาร์ก่อนประกาศลดค่าเงินบาทก็ได้ครับ

ทรงสอนให้คิดว่า การอาบน้ำในท่าน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วจะหมดบาป นั้นเป็นความเชื่อที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริง

ถ้าคนบริสุทธิ์ได้ด้วยการอาบน้ำ ไม่ว่าน้ำชนิดใดก็ตาม กุ้งหอยปูปลา มันก็บริสุทธิ์กว่าคน เพราะมันอยู่ในน้ำทั้งชีวิตเลย สวรรค์มิเต็มไปด้วยเทพกุ้ง เทพหอย เทพปลา เรอะ แล้วคน (ซึ่งอย่างเก่งอาบน้ำวันละสองสามครั้งกันที่อ่าง) จะมีที่ว่างบนสวรค์หรือ ไม่มีทาง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างแห่งแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ประชาชนสมัยโน้นเกิดความเข้าใจ ให้มั่นใจว่า กรรม (การกระทำ) เท่านั้นที่จะทำให้คนบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ จะไปนรก ขึ้นสวรรค์ บรรลุนิพพานก็ต้องทำเอาเองทั้งนั้น

ไม่ต้องเปลืองน้ำศักดิ์สิทธิ์มาอาบ น้ำมนต์วัดไหนก็ป่วยการ

ประชาชนต่างก็เลื่อมใสศรัทธาในแนวทางของพระพุทธองค์มากขึ้น เข้ามาบวชเป็นพระสงฆ์สาวกของพระองค์มากขึ้นมากทุกวรรณะ ทั้งวรรณะสูง วรรณต่ำ หรือแม้แต่จากคนนอกวรรณะ คือพวกจัณฑาล

ว่ากันว่าถึงช่วงเวลาดังกล่าวนี้ พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงมาก พระราชามหากษัตริย์ที่ปกครองประเทศ ไม่ว่าพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ หรือพระเจ้าปเสนธิโกศลแห่งแคว้นโกศล ต่างก็เป็นพุทธศาสนิก ประกาศสนับสนุนพระพุทธศาสนา

ลัทธิศาสนาอื่น เรียกรวมๆ ว่าพวก “อัญเดียรถีย์” ต่างก็เสื่อมคนนิยมนับถือ

เมื่อคนนิยมนับถือน้อย ลาภสักการะก็ลดน้อย เรียกว่ารายได้ตก ว่างั้นเถอะ พวกเขาก็เดือดร้อน

บางศาสนาถึงกับวางแผนทำลายพระพุทธศาสนา โดยกระทำตามแผนต่างๆ เป็นขั้นตอนคือ สั่งฆ่า พระโมคคัลลานะ มือซ้ายของพระพุทธองค์ในการประกาศพระศาสนา เพราะท่านรูปนี้มีฤทธิ์ปราบคนที่มีฤทธิ์เดชหรือคนดื้อด้านได้วิเศษนัก ดึงคนเหล่านี้มานับถือพระพุทธศาสนามาก็มาก พระสารีบุตร มือขวานั้น ไม่ปรากฏว่าถูกหมายปองชีวิต

แผนต่อไปก็คือ ส่งนางแมวยั่วสวาท นาม “จิญจมาณวิกา” ไปใส่ไคล้พระพุทธองค์ ว่ามีท้องมีไส้กับพระบรมศาสดา กรรมหนักแผ่นดินไม่สามารถทรงคนชั่วขนาดนี้ไว้ได้ จึงสูบเธอจมมิดหายไปในบัดดล

แผนต่อมาสั่งฆ่าสาวิกาของตนเองนาม “สุนทรี” แล้วให้นำศพไปทิ้งไว้ข้างพระเชตวัน แล้วก็กล่าวหาว่าสาวกของพระสมณโคดม (คือพระพุทธเจ้า) ฆ่าสาวิกาของพวกเขา

แต่เวรกรรมใครทำใครได้รับ พระราชารับสั่งให้สอบสวนเอาคนผิดมาลงโทษตามระเบียบ [ทรงสำแดงยมกปาฏิหาริย์ข่มพวกเดียรถีย์ ที่ต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์] ในช่วงนี้มีเศรษฐีได้บาตรไม้จันทน์มาใบหนึ่ง เอาบาตรแขวนบนเสาสูง ประกาศให้พระอรหันต์มีฤทธิ์เหาะไปเอา ถ้าไม่มีใครเหาะไปเอาภายใน 7 วัน จะได้รู้เสียทีว่า ไม่มีผู้มีฤทธิ์จริง มีแต่ “ราคาคุย” เท่านั้น

บังเอิญ ท่านบิณโฑละภารทวาชะ ทราบเรื่องจึงเหาะไปเอาบาตร เพื่อบอกให้เขาทราบว่า พระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์น่ะมีอยู่ พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่อง ทรงตำหนิว่าสาวกของพระองค์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์เพื่อบาตรเพียงใบเดียว ไม่สมควร

จึงทรงห้ามพระสาวกแสดงปาฏิหาริย์อีกต่อไป

เดียรถีย์รู้เข้า ก็คิดว่าได้การแล้ว คราวนี้ได้โอกาส ปราบสมณโคดมอยู่หมัดแน่ จึงประกาศท้าพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์แข่งกัน โดยเข้าใจว่า เมื่อพระพุทธเจ้าห้ามสาวกแสดงปาฏิหาริย์ พระองค์ก็แสดงไม่ได้ด้วย

เมื่อถึงวันแสดงปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าของชาวพุทธก็ไม่ได้ไปแสดง พวกตนก็จะได้ประกาศว่า เห็นไหม สมณโคมกลัวจนหัวหด อะไรทำนองนั้น

แต่ผิดคาด พระพุทธเจ้าประกาศว่าจะทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ โดยทรงอธิบายว่า ที่ห้ามนั้นห้ามสาวกและห้ามแสดง เพราะถ้าแสดงด้วยเหตุผลอื่น เช่น ใช้เป็นสื่อ ชักจูงคนเข้าหาธรรมย่อมสมควรอยู่ และพระองค์เป็นเจ้าของพระศาสนา ถึงห้ามพระสาวกแสดง แต่ก็ไม่ได้ห้ามพระองค์เองด้วย

ดุจดังเจ้าของสวนมะม่วงห้ามคนอื่นกินมะม่วง แต่เวลาเจ้าของจะกินเองก็ย่อมไม่มีใครห้าม ฉันใดก็ฉันนั้น

ในที่สุดพระองค์ก็ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ปราบเดียรถีย์ราบคาบ เสร็จแล้วก็เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนดาวดึงส์ทรงแสดงธรรมโปรดอดีตพุทธมารดาซึ่งไปเกิดเป็นเทพที่ชั้นดุสิต (เทพองค์นี้ มาฟังธรรมที่ดาวดึงส์) ออกพรรษาปวารณาแล้วเสด็จลงมายังพระนครสังกัสสะ

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องจริง หรือสัญลักษณ์ หรืออะไร ไว้กล่าวภายหลังเมื่อมีโอกาส ตอนนี้ขอพูดประเด็น “เปิดโลก” เท่านั้น

ขณะที่เสด็จลงจากสวรรค์ประทับยังพื้นดินเท่านั้น พระองค์ก็ทรงบันดาลให้พรหม เทพ มนุษย์ สัตว์เดียรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ได้มองเห็นกัน เสมือนนั่งอยู่พร้อมหน้ากันเป็นที่อัศจรรย์อันเรียกว่าทรง “ปาฏิหาริย์เปิดโลก”

ใครจะแปลตามตัวอักษรก็คงไม่มีใครว่ากระไร เพราะมีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นหลักฐาน ใครไม่เชื่อก็ไม่ควรดูหมิ่นสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่เห็น (เพราะตนมีญาณหยั่งรู้ไม่พอ) ไม่ได้หมายความว่าไม่มีหรือเป็นไปไม่ได้ ดุจคนตาบอดไม่เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็มิได้หมายความว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่มี

แต่ผมอยากตีความในแง่ ธรรมธิษฐาน (หรือภาษาธรรม) ว่าพอถึงช่วงเวลาที่กล่าวถึงนี้ คนทุกวรรณะทั้งชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ เลื่อมใส หันมาบวชในพระพุทธศาสนามากขึ้นเป็นลำดับ

การณ์เช่นนี้เท่ากับว่าพระพุทธองค์ทรงเปิดโลกให้สัตว์โลกทุกระดับมารวมกันและมองเห็นกันนั่นเอง

แต่ก่อนคนชั้นต่ำไม่มีสิทธิ์ ไม่มีโอกาสสังคม ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางการศึกษา โอกาสที่จะเป็นคนดี พระพุทธศาสนาเปิดโอกาสให้มนุษย์ทุกคน ทั้งวรรณะสูง วรรณะต่ำ ทัดเทียมกัน ทุกคนมีความเป็นคนทัดเทียมกัน มีศักยภาพทัดเทียมกันที่จะบรรลลุเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต แม้กระทั่งเทวดาและพรหมที่เชื่อว่าสูงกว่ามนุษย์

พระพุทธองค์ทรงชี้ว่า มนุษย์ก็สามารถเป็นเทพพรหม เป็นเทพบนดินได้ ด้วยคุณธรรม ด้วยการกระทำจึงเท่ากับเปิดโลกแห่งความเป็นจริง เปิดให้สัตว์ทั้งปวงอยู่ในมิติเดียวกัน สามารถมองเห็นกันได้ ด้วยประการฉะนี้แล