‘ชัชชาติฟีเวอร์’ 1 เดือนผ่านยัง ‘กระฉูด’ เปิดฉากท้าทาย วัดใจสังคม ‘โอเวอร์พีอาร์’ สู่ดราม่า ‘นีโอลิเบอรัล’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘ชัชชาติฟีเวอร์’ 1 เดือนผ่านยัง ‘กระฉูด’

เปิดฉากท้าทาย วัดใจสังคม

‘โอเวอร์พีอาร์’ สู่ดราม่า ‘นีโอลิเบอรัล’

ผ่านวันเวลาครบ 1 เดือนเศษ ในการดำรงตำแหน่งในฐานะผู้ว่าฯ กทม. ของ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” แม้ในช่วงแรกจะโดนดราม่าถูกถ่วงเวลารับรองผลการเลือกตั้ง จนสังคมต้องออกมาช่วยประท้วงการทำงานของ กกต.ให้วุ่น แต่ทางชัชชาติก็เลือกที่จะไม่กังวล ขอเดินหน้าทำงานทันที

ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา หากใครที่ติดตามเฟซบุ๊ก “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดตามถึง 2.6 ล้านคน ก็จะได้รับแจ้งเตือนการไลฟ์สดลงพื้นที่ทำงานให้เห็นทุกวันเช้าจรดเย็น ไลฟ์สั้นหรือยาวก็ขึ้นอยู่กับภาระหน้าที่งานในวันนั้นๆ บางวันมีทีมงานคอยติดตาม บางวันฉายเดี่ยว รวมถึงมีสื่อจากบางสำนักลงพื้นที่ติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด

ทำให้ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” กลายเป็นคนที่ยึดพื้นที่สื่อ และดึงเรตติ้งภาพลักษณ์ของตัวเองให้มากขึ้นอย่างไม่มีใครต้านได้

จนเกิดเป็นกระแส “ชัชชาติฟีเวอร์” ท่ามกลางการจับตาจากสังคมอยู่ตลอดเวลา

1เดือนที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานของชัชชาติเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนหลายเรื่อง โดยเฉพาะปัญหาจุดเล็กจุดน้อยที่เคยถูกละเลยมานาน เริ่มได้รับการแก้ไข รวมถึงการลงไปร่วมกิจกรรมกับคนหลายกลุ่มที่ไม่ได้เห็นจากผู้ว่าฯ มานาน กระบวนการทำงานที่รวดเร็ว เกิดปัญหาปุ๊บลงพื้นที่ปั๊บ แบบไม่ต้องถามหาว่าผู้ว่าฯ จะมาหรือไม่

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดให้ประชาชนร้องเรียนปัญหาผ่านระบบแอพพ์ Traffy fondue ก็ดูจะเป็นวิธีที่ถูกใจประชาชน หนึ่งเดือนมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาหลักหมื่น ก็ถูกแก้ไขได้หลักหมื่น

จึงไม่แปลกที่จะเห็นประชาชนเกิดความประทับใจในตัวผู้ว่าฯ คนนี้อย่างหนัก จนต้องเฝ้าติดขอบจอรอดูไลฟ์สด

จนการไลฟ์สดนั้น กลายเป็นภาพจำวิถีการทำงานของผู้ว่าฯ ชัชชาติในสายตาประชาชนไปเสียแล้ว

แต่ทว่า มีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบร่วมด้วย เมื่อการไลฟ์สดอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เห็นกระบวนการทำงาน ถูกบางกลุ่มมองว่าเป็นโอเวอร์พีอาร์มากจนเกินงาม

เรื่องนี้ชัชชาติได้ออกมาชี้แจงถึงข้อครหาดังกล่าว ว่าการที่ตนไลฟ์เวลาทำงานทุกช่วง เพราะอยากให้ประชาชนเข้าใจขั้นตอนการทำงาน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของภาษี สามารถติชมกันได้ พร้อมน้อมรับทุกความคิดเห็น

และยินดีนำมาปรับปรุงการทำงาน ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น

คําตอบสั้นๆ แต่กลับได้ใจประชาชนและยิ่งทำให้คะแนนนิยมในตัวของชัชชาติเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้นี่เองที่อาจจะสร้างความไม่สบายใจให้กับ “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จนถึงกับหลุดพูดแขวะผ่านสื่อ ว่าทางชัชชาติทำพีอาร์เก่งกว่ารัฐบาล ทั้งๆ ที่ทำงานเหมือนกัน หลังถูกตั้งคำถามเปรียบเทียบการทำงานระหว่างผู้ว่าฯ และรัฐบาล ก่อนรถทัวร์จะมาจอดเทียบท่า

เมื่อสังคมมองว่าคำพูดของนายชัยวุฒิที่พูดออกมานั้นคือการแขวะอีกฝ่าย ทำให้สังคมเริ่มขุดคุ้ยและพบงบประมาณที่รัฐบาลเอาไว้ใช้ทำพีอาร์มีมูลค่าถึงหลักพันล้าน งานนี้ รมว.ดีอีเอส เลยแก้เก้อด้วยการบอกว่าพูดไปด้วยเจตนาดี แต่สื่ออาจจะไม่เข้าใจ

“ที่บอกว่า PR เก่ง ถือเป็นการชมรุ่นพี่ ที่ทำเรื่องประชาสัมพันธ์เก่ง เราก็จะต้องไปศึกษาทำตามแบบเพราะท่านทำไว้ดีแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนคำพูดที่หลายคนนำไปตีความว่าเป็นการแขวะ จิตใจผมดีนะ แต่สื่ออาจจะไม่เข้าใจ” นายชัยวุฒิกล่าว

แม้จะถูกสกัดดาวรุ่งรายวัน แต่ชัชชาติก็เลือกจะเดินหน้าทำงานต่อ ล่าสุดโฟกัสปัญหาใหญ่อย่างการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกลุ่มบริษัทบีทีเอส ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานจนลามไปเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง เรื่องนี้ทำให้ชัชชาติถูกจับตามองว่าจะแก้ปัญหาและจะสามารถทำให้ประชาชนได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ยังไงบ้าง หลังขอเวลาศึกษาเรื่องนี้ 1 เดือน

 

ขณะที่ชัชชาติกำลังเดินหน้าศึกษาปัญหา “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul หลังได้เห็นคลิปของชัชชาติขณะกำลังอธิบายค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยระบุว่าการแก้ปัญหาของชัชชาติเป็นการแก้แบบนีโอลิเบอรัลหรือเสรีนิยมใหม่ โดยข้อความระบุว่า

“คำอธิบายของอาจารย์ชัชชาติในคลิปนี้ พิสูจน์ให้เห็นวิธีคิดของแกมากๆ ว่า เป็นนีโอลิเบอรัล

ประยุทธ์ คือ เสรี/อำนาจนิยม รัฐอำนาจนิยม รัฐเข้มแข็งเฉพาะแดนการเมือง จำกัด/กำจัดสิทธิในการมีส่วนร่วมของพลเมืองให้มากที่สุด และเป็นรัฐเสรีนิยมสุดขั้วในแดนเศรษฐกิจ ไม่ยุ่ง ไม่แทรกแซงตลาด ปล่อยให้เอกชนทำหมด

ในขณะที่อาจารย์ชัชชาติเป็นนีโอลิเบอรัลที่เป็นประชาธิปไตยในทางการเมือง ให้พื้นที่การแสดงออกของพลเมือง แต่ในทางเศรษฐกิจ ก็เสรีนิยมสุดๆ ให้เอกชนทำบริการสาธารณะ ทำให้ตกอยู่ภายใต้กฎของกำไร-ขาดทุน มากกว่า บริการประชาชน ความเสมอภาคเท่าเทียม

ผมอาจถูกฝึกมาจากฝรั่งเศสและยุโรป ที่เชื่อในเรื่อง ‘บริการสาธารณะ’ สำหรับคนทุกคน รัฐต้องลงทุน และขาดทุน เพื่อให้ทุกคนได้ใช้บริการในราคาที่เข้าถึงได้ ทั่วถึง จะคิดเรื่องกำไร/ขาดทุน อย่างเดียวไม่ได้”

นอกจากนี้ ปิยบุตรยังได้อธิบายเพิ่มเติมในคอมเมนต์ว่า ที่ฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศในยุโรป เก็บตั๋วราคาเดียวกันหมดครับ ตลอดสาย ส่วนปารีส ในกรณีออกนอกโซน 1-2 ไปโซน 3-5 ต้องจ่ายเพิ่มบ้าง เพราะมันไกลออกไปจริงๆ ข้ามไปอีกเมือง และกระตุ้นให้คนใช้ตั๋วปี ได้ลดราคา

จากท่าทีดังกล่าวทำให้กลุ่มคนที่ชื่นชอบชัชชาติ หันมาวิจารณ์และต่อว่าปิยบุตรอย่างหนัก ก่อนเจ้าตัวจะออกมาชี้แจงหลังถูกทัวร์ลงจากการแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าว โดยยืนยันจุดยืนในการวิจารณ์ครั้งนี้เพื่อคนส่วนใหญ่ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ของคนในสังคมที่แตกออกเป็นสองฝั่ง และยังเป็นข้อถกเถียงกันมาถึงตอนนี้

การทำงานของชัชชาติยังถูกพูดถึงจากคนในแวดวงวิชาการด้วย ล่าสุด “รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเฉพาะกิจ มติชนรายวัน ตัดเกรดให้ B+ ผู้ว่าฯ หลังนั่งเก้าอี้ครบ 1 เดือนเศษ โดย รศ.ดร.อรรถสิทธิ์อธิบายการให้เกรด B+ กับผู้ว่าฯ ชัชชาติ ว่า

“เนื่องจากมีคนบอกว่า เดือนแรกรอดูน้ำท่วมสักครั้ง 2 ครั้ง จะแก้อย่างไร แล้วเขาก็จัดการได้ มาถึงลอกท่อ ชาวบ้านบอกน้ำระบายเร็วมาก หรือแอพพ์ Traffy Fondue ส่งข้อมูลไป 1-2 ชั่วโมง บ่ายนี้แก้ได้เลย สิ่งเหล่านี้ทีมผู้ว่าฯ ทำได้ดี คนพูดกันปากต่อปาก การเมืองคือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำให้อยู่ในใจคนได้ แต่ขณะเดียวกัน วันหนึ่งคุณต้องเผชิญเรื่องใหญ่ๆ เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งให้คะแนนเยอะมาก ต้องเหลือพื้นที่ในการพัฒนาบ้าง และดูว่าจะไปถึง A ไหม ถ้าดีจริงๆ ค่อยให้ A+ ก็ยังได้”

“1 เดือนที่ผ่านมาทำเรื่องเฉพาะหน้าได้ดีแล้ว ส่วนเรื่องใหญ่กว่านี้ คือเรื่องที่น่าจับตาและเชื่อว่าคนเริ่มอยากเห็นผลงานยกระดับจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่พอใจแล้ว เช่น บีทีเอส และแผนใหญ่ในสถานการณ์น้ำ เป็นต้น”

 

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนหลายกลุ่ม ชัชชาติยังคงขอน้อมรับทุกคำวิจารณ์เหมือนที่ผ่านมา เพื่อนำมาพัฒนาการทำงาน

และครั้งนี้ยังขอให้สังคมฟังคนที่เห็นต่างด้วย คนที่ไม่เห็นด้วยกับตนก็ไม่เป็นไร ยินดีรับฟังคำติชมด้วยซ้ำเพื่อจะได้ปรับปรุงตัว พร้อมขอบคุณทุกกำลังใจ อยากจะให้เปลี่ยนเรื่องฟีเวอร์ ให้เป็นความร่วมมือ จะได้ช่วยกันทำเมืองให้ดีขึ้น ที่ผ่านมา 1 เดือน ได้เห็นความร่วมมือที่หลากหลาย ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี

ท้ายที่สุดการทำงานของชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ จะอยู่ในความสนใจของสังคมไปอีกนานอย่างเลี่ยงไม่ได้ อนาคตคำวิจารณ์จะรุนแรงมากขึ้นหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการทำงานและการรับมือว่าจะเข้าตาประชาชนมากแค่ไหน

เพราะต้องไม่ลืมว่า สังคมตั้งความหวังกับการทำหน้าที่ผู้ว่าฯ ของผู้ชายที่ชื่อ “ชัชชาติ” ไว้สูงมากเช่นกัน