ไร้ศรัทธาก็น่าอดสู/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

ไร้ศรัทธาก็น่าอดสู

 

วันนี้วัฒนธรรมการเมืองประเทศไทยถอยหลังไปมาก

จากปี 2535 ที่ชนชั้นกลางในเมืองต่อสู้กับทหารทะเยอทะยานกลุ่มหนึ่ง ปฏิเสธกติกาการเมืองที่ซ่อนเร้นอำพราง สู้ยิบตากับความฉ้อฉลถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อและสูญหายซึ่งสุดท้ายก็ได้พบกับสัจธรรมเดิมๆ นั่นคือ ปากกระบอกปืนของทหารหันเข้าใส่ประชาชนเสมอ

“พฤษภาทมิฬปี 2535” เป็นอีกหนึ่งบาดแผลทางการเมืองที่ทำให้กองทัพตกต่ำ ทหารกลับเข้ากรมกอง เจียมเนื้อเจียมตัว ห่างหายไปจากการเมือง

ในช่วงนั้นถึงเริ่มได้ยินผู้บัญชาการทหารบกพูดคำว่า “ทหารอาชีพ”

ประชาธิปไตยเริ่มผลิดอก การเลือกตั้งและระบอบรัฐสภาเดินหน้าตามครรลองพร้อมกับได้ทดลองแนวคิดและแนวทางใหม่ๆ ที่พรรคการเมืองแข่งกันนำเสนอนโยบายแบบเจาะจงกลุ่มประชากร “ไทยรักไทย” ภายใต้การนำของนักธุรกิจหนุ่มนาม “ทักษิณ ชินวัตร” พราวสุด งัดกลยุทธ์เอาใจชนชั้นรากหญ้าเต็มพิกัด พักชำระหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ธนาคารประชาชน 30 บาทรักษาทุกโรค สามารถช่วงชิงชัยชนะในสนามเลือกตั้งได้ชนิดขาดลอย

นโยบายของพรรคไทยรักไทยส่งผลสะเทือนรุนแรงมากกระทั่งการเลือกตั้งปี 2548 “ไทยรักไทย” สมัยที่ 2 กวาดที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรไปได้ถึงร้อยละ 75

“ความมั่นใจ” ที่ได้จาก “เสียงสวรรค์” ทำให้ “ทักษิณ” รุกทางการเมืองต่อไปหมายจะเปลี่ยนโฉมประเทศไทยให้ก้าวล้ำนำสมัยในจินตนาการ มุ่งปฏิรูประบบราชการ ปรับปรุงระบบงบประมาณ รวมถึงมีแผนที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรม 5 สาย เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร, ยานยนต์, แฟชั่น, การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมบริการด้านซอฟต์แวร์

แต่ขณะที่ดาวรุ่งทางการเมืองผู้อหังการกำลังเคลิ้มกับแนวคิดและวิธีบริหารแบบทักษิณ อาทิ การส่งเสริมเศรษฐกิจรากหญ้า ดูแลคนชั้นล่าง แก้ปัญหาในเชิงระบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ตามใจ ไม่เอาใจกองทัพและไม่ถูกใจชนชั้นสูงกับสายอนุรักษนิยมนั้น ชนชั้นกลางผู้ปราดเปรื่องในเมืองหลวงตลอดจนเทคโนแครตทั้งหลายก็เริ่มมีอารมณ์ปฏิปักษ์ผุดวาทะกรรมบ่อนเซาะ เช่น ระบอบทักษิณาธิปไตย ทักษิโณมิกส์ ธุรกิจการเมือง คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อน ประชานิยม ฯลฯ

ระบอบรัฐสภากำลังได้ลืมตาอ้าปากเดินไปตามครรลองชนชั้นนำก็สมคบคิดกันก่อรัฐประหารขึ้นในปี 2549

ปิดฉากทักษิณ หยุดไทยทะยาน ประชาธิปไตยถูกฆ่าทิ้ง!

 

แต่การจัดการภายหลังรัฐประหารในเวลาต่อมาไม่เป็นที่ถูกใจของชนชั้นนำนักถึงกับมีเสียงเล็ดลอดออกมาว่าเยี่ยวไม่สะเด็ดน้ำ “เสียของ” จึงงัดเอา “ตุลาการภิวัฒน์” มาใช้เป็นอาวุธทางการเมืองชิ้นใหม่!

ประเทศไทยจำใจต้องจัดให้มีการเลือกตั้งในเวลาต่อมา หากแต่ผลสุดท้ายพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์ก็พ่ายแพ้แก่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อย่างยับเยิน

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ปรับตัว ประนีประนอม เอาใจชนชั้นนำและกองทัพ เทให้ชนิดหมดหน้าตัก คงนึกไม่ถึงว่าพรรคการเมืองกับนักการเมืองที่ไม่มีวันชนะกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยสมคบคิดกันจุดไฟปลุกระดม เอาดีใส่ตัวเอาชั่วป้ายใส่ให้ผู้อื่น ถึงแม้รัฐบาลเวลานั้นยอมถอยสุดซอย จัดให้มีการเลือกตั้ง แต่เห็บในระบอบประชาธิปไตยก็ยังคงก่อม็อบเกณฑ์คนออกมาล้มเลือกตั้ง อาละวาดขัดขวางไล่ทุบตีทำร้ายร่างกายคนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

เมฆตั้งเค้าเขียวทะมึน คอการเมืองวิเคราะห์ไม่ยาก ทั้งหลายเหล่านั้นปูทางสู่วันยึดอำนาจ “22 พฤษภาคม 2557”

พฤติกรรมทั้งหมดเข้าข่ายความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 113 อย่างสมบูรณ์ เช่น ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลัง หรือใช้กำลังเข้าประทุษร้าย เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ ยึดอำนาจการปกครองส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร

ความผิดฐานกบฏมีโทษ “ประหารชีวิต” หรือ “จำคุกตลอดชีวิต” แต่ไทยยังก้าวไปไม่ถึง “โบลิเวีย”!!

 

แทบไม่น่าเชื่อว่าปี พ.ศ.2557 การเมืองไทยจะย้อนยุคไปไม่น้อยกว่าครึ่งศตวรรษ

ประเทศไทยมี “ส.ว.” 250 คนที่เปรียบเสมือน “เสียง” ของพรรคการเมืองในรัฐสภา หากแต่เป็นจำนวนที่มากกว่า ส.ส.ของทุกพรรคการเมืองซึ่งต้องผ่านการเลือกตั้ง

“ส.ว.” ซึ่งมีที่มาจาก คสช.หรือคณะรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มีอำนาจ “โหวต” เลือกนายกรัฐมนตรี

ไม่มีผิดคาด ไม่มีใครออกนอกแถว นายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งปี 2562 ต้องเป็น “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คนเดียวกับที่เคยเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร

เผด็จการทหารยืนยงสืบมา!

ชนชั้นกลางผู้ปราดเปรื่องและเทคโนแครตในเมืองหลวงถึงกับ “ไปไม่เป็น” ไม่ได้ยินเสียงต่อต้านเผด็จการเพื่อรักษากติกาประชาธิปไตย

ไม่มีใครเรียกร้องเหมือนเมื่อครั้ง “พฤษภา ’35” ว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง

 

ล่วงผ่านไป 8 ปี เริ่มได้ยินเสียงครวญจากนายทุนใหญ่ …ผ่านร้อนหนาวมาค่อนชีวิต ไม่มีครั้งใดที่จะสูญเสียเงินทองมากอย่างในวันนี้

ประเทศไทยไม่ได้หยุดการทะยาน หากแต่ร่วงดิ่งสู่หุบแห่งหายนะ!

ปืนหมดพิษสงเมื่อเจอเข้ากับ “ทุน” เครือข่ายทุนใหญ่ต้องมาก่อน ชนชั้นรากหญ้ามาทีหลัง งานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยปี 2562 ชี้เอาไว้ว่าบริษัทขนาดใหญ่ 5 เปอร์เซ็นต์แรกของประเทศมีสัดส่วนรายรับสะสมสูงถึงร้อยละ 85 ของรายรับทั้งหมด ช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำพุ่งสูงในรอบ 10 ปี คนจนเพิ่มทวีคูณจากระดับ 7.2 ล้านคน เมื่อปี 2558 เป็นกว่า 10 ล้านคนในเวลานี้

อันดับความโปร่งใส หรือดัชนีชี้วัดการคอร์รัปชั่นในเวทีโลกของไทย ร่วงจากอันดับ 88 ไปอยู่ที่ 110 การกินเงินราษฎร์ เบียดบังเงินหลวง การใช้อำนาจหน้าที่หาประโยชน์เข้าตัว ผลประโยชน์ทับซ้อนยังมีอยู่ครบ

“รัฐไร้ความสามารถ” โดยแท้นี้นำขบวนโดย “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”!?!!