‘ซักฟอก’ ซ้อน ‘ซักฟอก’ ‘นั่งร้าน’ เชิด ‘ญัตติเถื่อน’ ลดเครดิต ‘ฝ่ายค้าน’ ตัดเกม ‘ฝ่ายแค้น’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘ซักฟอก’ ซ้อน ‘ซักฟอก’

‘นั่งร้าน’ เชิด ‘ญัตติเถื่อน’

ลดเครดิต ‘ฝ่ายค้าน’

ตัดเกม ‘ฝ่ายแค้น’

หลังฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี 10 คน รวม 11 คน

นอกเหนือจากที่นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) สั่งเตรียมรับมือ

โดยวางกรอบเวลาการอภิปรายไว้ 3 วัน โดยน่าจะเป็นช่วงวันที่ 18-20 กรกฎาคม และลงมติวันที่ 21 กรกฎาคม

นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐยังได้ตั้งทีม ส.ส.รับมืออภิปรายไม่ไว้วางใจไว้ 11 คน เท่ากับจำนวนรัฐมนตรีที่ถูกยื่นซักฟอก

โดยใช้ชื่อดุดันว่า “ทีมปราบมาร”

เพื่อคุมเกมให้การอภิปรายเป็นไปตามญัตติ และข้อบังคับการประชุม

ถือเป็นการบลั๊ฟฟ์กลับฝ่ายค้านที่ถูกเปรียบให้เป็นดังมาร

ฐานมาประกาศจะเด็ด “หัวแกนนำ ทลายนั่งร้าน” ฝ่ายรัฐบาล

 

แต่ที่ร้อนแรง และฮือฮา คงเป็นท่าทีของนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน “รมต.นั่งร้าน” ที่ถูกยื่นซักฟอกด้วย

ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นรายบุคคลดังกล่าว

ด้วยเชื่อว่าเป็น “ญัตติเถื่อน”

เนื่องจากช่วงเช้าถึงเที่ยงวันที่ 15 มิถุนายน นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่าจะยื่นอภิปรายรัฐมนตรี 10 คน

แต่ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน นำตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติต่อนายชวน ปรากฏว่ามีจำนวนผู้อภิปรายเพิ่มขึ้นจาก 10 คน มาเป็น 11 คน

และรัฐมนตรีที่เพิ่มขึ้นมาคือตนเอง

จึงมีคำถามว่า ส.ส.ฝ่ายค้าน 180 กว่าคน ที่ลงชื่อในญัตติตามมาเซ็นญัตติรับรู้หรือไม่ว่า มีการเพิ่มจำนวนรัฐมนตรีผู้ถูกอภิปรายจาก 10 คน เป็น 11 คน

“เพื่อนผมในฝ่ายค้านหลายคนรับไม่ได้ เขาเป็นสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติ เขารู้สึกว่ามีผู้มีอิทธิพลคนเดียวมาแก้ญัตติเพิ่มเติม อาจทำให้สภาเสื่อมเสีย จึงมาบอกผม ตอนเซ็น เพื่อนผมเซ็น 10 คน แต่ช่วงบ่ายมีการเปลี่ยนเอกสารแผ่นหลังในส่วนของรายชื่อ กลายเป็น 11 คน ถ้าเป็นลูกผู้ชายไม่ให้สภาเสื่อมเสีย ให้เอากลับไปเซ็นใหม่ให้ถูกต้อง” นายสุชาติกล่าว

และย้ำว่า ไม่เคยกลัวที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ไม่ชอบที่มีใครบางคนแหกกฎ กติกา และเล่นนอกเกม กรณีนี้คล้ายเสียบบัตรแทนกันที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปแล้วหลายคน และเรื่องนี้ยิ่งกว่าเสียบบัตรแทนกัน

“ผมอยากให้ตรวจสอบญัตติของฝ่ายค้าน ว่ามันชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่” นายสุชาติกล่าวยืนยัน

 

ปรากฏว่ามีการรับลูกจาก “นักร้อง” ในทันที

เมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ได้ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 11 คนว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 151 หรือไม่

ด้วยพบว่า ญัตติของฝ่ายค้านก่อนลงนามมี 2 ฉบับ คือ ฉบับไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 10 คน กับฉบับไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 11 คน และทั้ง 2 ฉบับลงวันที่ 15 มิถุนายนเหมือนกัน จึงเป็นที่พิรุธน่าสงสัยด้วยญัตติแรกที่ทำเสร็จเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ไม่มีชื่อนายสุชาติ

แต่ญัตติที่ยื่นต่อนายชวน กลับเป็นญัตติที่มีรายชื่อรัฐมนตรีรวม 11 คน จึงน่าเชื่อว่าเป็นญัตติที่ทำขึ้นใหม่ โดยมีการเพิ่มชื่อนายสุชาติเข้ามา แต่กลับใช้รายชื่อ ส.ส.ฝ่ายค้านเซ็นไว้กับญัตติเก่า ถามว่าเป็นสิ่งที่ชอบหรือไม่ ซึ่งเรื่องน่าจะไม่ชอบ

ซึ่งหากเทียบแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 15-18/2556 อาจจะทำให้ญัตติรัฐมนตรี 11 คน ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 เพราะอาจถือเป็นญัตติที่ยังไม่มีบัญชีรายชื่อแนบท้ายนั่นเอง

จึงต้องร้องให้นายชวนตรวจสอบ รวมทั้งจะยื่น ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบอีกทางหนึ่งด้วย

มีการซักไซ้นายเรืองไกรว่าเป็นความพยายามเดินเกมเพื่อให้ญัตติ “ถูกเลื่อน” ออกไปจนหมดสมัยประชุม หรือทำให้ญัตติตกไปใช่หรือไม่

นายเรืองไกรปฏิเสธว่าไม่เกี่ยว ฝ่ายค้านต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ไปกล่าวหาเขา แต่พฤติกรรมของตนกลับไม่ซื่อสัตย์สุจริตเสียเอง จึงขอให้ฝ่ายค้านกลับไปเขียนญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มายื่นต่อนายชวนใหม่ ทุกอย่างจะได้ไม่มีปัญหา

 

แต่ฝ่ายค้านก็ไม่รับลูก

เพราะหากทำเช่นนั้น ย่อมเสียเครดิตฝ่ายค้านอย่างแรง

ซึ่งเท่ากับยอมรับว่ามีผู้มีอิทธิพลสั่งให้เพิ่มชื่อนายสุชาติเข้าไป เพื่อผลทางการเมือง

โดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า รัฐบาลอาจจะได้ข้อมูลที่ผิดพลาด

หรือมีเจตนาที่จะทำลายจังหวะ และสมาธิของฝ่ายค้านก็เป็นไปได้

ซึ่งดูเหมือนฝ่ายค้านจะเบาใจไประดับหนึ่ง

เมื่อ นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่า นายชวน หลีกภัย ได้ส่งหนังสือขอให้ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีลงนามยืนยันความถูกต้องของญัตติที่เสนอมาอีกครั้ง

หากรายชื่อทุกอย่างถูกต้องก็ถือว่าญัตติถูกต้อง เดินหน้าต่อไปได้

แต่ก็คงต้องรอดูต่อไปว่า นายสุชาติและนายเรืองไกรจะยอมให้เรื่องจบลงง่ายๆ เช่นนั้นหรือไม่

หรือจะดิ้นต่อไป โดยเฉพาะการหวังยืมมือ ป.ป.ช.ชี้ขาด ความเป็น “ญัตติเถื่อน” ตามที่กล่าวหาไว้

 

มีการตั้งข้อสังเกตอาการการเมืองของนายสุชาติ ชมกลิ่น ต่อกรณีญัตติ “ไม่ไว้วางใจ”

ว่าไฉนมีความร้อนรุ่มเป็นพิเศษ

และความร้อนรุ่มนี้ ดูเหมือนจะเกิดกับ 3 รัฐมนตรีแห่งพรรคพลังประชารัฐ อันประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ นายสุชาติ ชมกลิ่น ที่ถูกเปรียบเป็นเหมือน “นั่งร้าน” ให้รัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านตั้งยุทธวิธีการเคลื่อนไหวในศึกซักฟอกครั้งนี้ว่า เป็นการ “เด็ดหัว” แกนนำ และ “ทลาย” นั่งร้าน แกนนำก็ทราบกันดีว่า คือ 3 ป. พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

ทั้งนี้ อาจรวมถึงหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลอย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล แห่งพรรคภูมิใจไทย และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ พรรคประชาธิปัตย์

ส่วนนั่งร้านนั้น ภาพของรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกอย่างนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ นายนิพนธ์ บุญญามณี นายจุติ ไกรฤกษ์ อาจจะไม่ชัดเจนนัก

หากเมื่อเทียบกับนายสุชาติ นายสันติ และนายชัยวุฒิ ที่ดูเหมือนจะอยู่รายล้อม พล.อ.ประยุทธ์ และเป็นตัวขับเคลื่อนและปกป้องทางการเมืองให้กับผู้นำในทำเนียบ

โดยเฉพาะในห้วงที่ พล.อ.ประยุทธ์มีปัญหากับกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในศึกซักฟอกครั้งที่แล้ว มีการกล่าวหาเรื่อง “กบฏ” ในรัฐบาล นำไปสู่การปลด ร.อ.ธรรมนัสออกจากรัฐมนตรี และบานปลายไปสู่การแยกออกมาตั้งพรรคใหม่

ท่ามกลางกระแสข่าวการไม่เผาผีระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส กับ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีที่ใกล้ชิด

แน่นอนว่า มีชื่อของนายสุชาติ นายสันติ นายชัยวุฒิ อยู่ในบัญชีแค้นที่ต้องชำระด้วย

 

จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดใจที่ ร.อ.ธรรมนัสแห่งพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ปัจจุบันเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับนายพิเชษฐ สถิรชวาล แห่งกลุ่ม 16 ที่มีการเคลมว่ามี ส.ส.อยู่ในมือเกือบ 30 คน จะประกาศจุดยืนในการโหวตซักฟอก ว่าจะเทคะแนนเสียงให้เฉพาะ พล.อ.ประวิตรเท่านั้น

ส่วนคนอื่นๆ นายพิเชษฐบอกว่า “การอภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวนี้ดูแล้วมีรัฐมนตรีหลายคนที่ผมจะไม่โหวตให้ โดยเฉพาะนายชัยวุฒิ นายสุชาติ นายสันติ และอาจรวมนายนิพนธ์ที่ดูแลกรมที่ดินจะมีเรื่องเขากระโดง การรุกป่าเขาใหญ่ ซึ่งถือว่าหนัก”

และย้ำอีกว่า การโหวตของกลุ่ม 16 จะไปในทิศทางเดียวกันกับพรรคเศรษฐกิจไทย เนื่องจาก ร.อ.ธรรมนัสดูแลพรรคเล็กมาก่อน ซึ่งหากกลุ่ม 16 รวมพรรคเศรษฐกิจไทย มีอยู่ 30 กว่าเสียง ไม่โหวตให้ และแม้รัฐมนตรีถึงมีคะแนนโหวตผ่าน แต่หากห่างจากคนอื่นมาก จะอยู่ได้อย่างไร

สามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงได้ นายกฯ ต้องปรับออก

 

เมื่อจุดร้อนแรงมีเป้าหมายที่ 3 รัฐมนตรี “นั่งร้าน”

นี่เองจึงทำให้นายสุชาติ 1 ใน 3 รัฐมนตรีนั้นดูเหมือนจะร้อนเป็นพิเศษ

มีการกล่าวพาดพิงไปถึงผู้มีอิทธิพลนอกพรรคฝ่ายค้าน ว่าเป็นผู้ยัดชื่อของตนเองเข้าอยู่ในบัญชีซักฟอก ทั้งที่ญัตติตอนแรกไม่มี

อันย่อมสะท้อนว่ามีเป้าหมายชำระแค้น

ซึ่งแม้นายสุชาติจะไม่ระบุว่าเป็นใคร แต่ก็ดูเหมือนคนทั่วไปจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าต้องการสื่อถึงใคร

ทำให้ศึกซักฟอกครั้งนี้ ไม่อาจโฟกัสไปเฉพาะฝ่ายค้านเท่านั้น

หากแต่ต้องจับตา “คนกันเอง” อย่างไม่กะพริบตา

เพราะนอกจากอาจมีการชำระแค้นกันแล้ว ยังมีการต่อรอง “ผลประโยชน์” กันอย่างไม่อ้อมค้อม

อย่างที่เห็นภาพที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อนายสุรทิน พิจารณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือให้ พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประสานขอตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีให้กับสมาชิกพรรค หลังพรรคการเมืองอื่นๆ ได้ตำแหน่งอื่นๆ ไปแล้ว

นายสุรทินกล่าวว่า แม้ไม่ได้พบ พล.อ.ประวิตร แต่ได้พูดคุยทางโทรศัพท์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย พล.อ.ประวิตรได้สอบถามตนถึงการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งตนได้ตอบไปว่าตัวเองในส่วนตัวให้คะแนนเสียงกับ พล.อ.ประวิตรคนเดียว และส่วนพรรคเล็กอื่นๆ เท่าที่คุยเบื้องต้นก็จะเทคะแนนให้ พล.อ.ประวิตรเช่นเดียวกัน

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์และรัฐมนตรีคนอื่น จะยกคะแนนให้ด้วยหรือไม่นั้น ขอฟังการอภิปรายก่อน ขอดูตามเนื้อผ้า

ตอกย้ำว่า ศึกซักฟอกครั้งนี้ มีการเบียดบดกันทุกแง่ทุกมุม

อะไรที่เตะตัดขาได้ก็เตะ

อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ต่อรองเอาอย่างเปิดเผย

อะไรที่สามารถชำระแค้นได้ ก็พร้อมเปิดหน้าซัดเข้าหากันเต็มที่

เมื่อเป็นการซักฟอกครั้งสุดท้าย “อะไร-อะไร” ก็ต้องรุนแรง และแตกหักเช่นนี้!