BABY DRIVER “รีมิกซ์แห่งชีวิต”

นพมาส แววหงส์

BABY DRIVER

กำกับการแสดง Edgar Wright

นำแสดง Ansel Elgort / Kevin Spacey / Jamie Foxx / Lily James / Jon Bernt / Jon Hamm / Eiza Gonzales

หนุ่มน้อยหน้าอ่อนที่เรียกตัวเองว่า “เบบี้” (แอนเซล เอลกอร์ต) เป็นคนขับรถที่เก่งกาจฝีมือขั้นเทพของกลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งมีหัวหน้าแก๊งชื่อ ด็อก (เควิน สเปซีย์)

ด็อกวางแผนการปล้น และใช้กลุ่มสมุนสามสี่คนปิดหน้า ถือปืน เข้าปล้นธนาคาร ที่ทำการไปรษณีย์ ฯลฯ ระหว่างที่เบบี้นั่งรออยู่ในรถ และพร้อมจะขับหลบหนีการติดตามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ฝีมือการขับรถของเขาฉกาจฉกรรจ์จนด็อกไม่ยอมปล่อยให้เขาไปไหน และใช้หนี้สินที่เขาติดค้างอยู่เป็นข้อต่อรองเพื่อเรียกใช้ตัวเบบี้อยู่เสมอ

เบบี้คิดว่าเขาติดค้างด็อกอยู่เพียงการทำงานให้แค่อีกหนเดียว เขาก็จะได้เป็นไทแก่ตัวเอง และไม่ต้องคอยรับใช้เมื่อถูกเรียกตัวไปทำงานผิดกฎหมายอีกแล้ว

ทั้งนี้ โจ ชายแก่ผิวดำ ซึ่งเดินเหินไม่ได้และเป็นใบ้หูหนวก ที่เบบี้คอยดูแลอย่างรักใคร่ ไม่ต้องการให้เบบี้เลือกทางเดินสายนี้เลย เงินที่เบบี้เก็บสะสมไว้ได้มากมายนั้น

โจเรียกว่าเป็นเงินสกปรก

เรื่องราวแต่หนหลังของเบบี้ค่อยๆ ถูกเผยให้เรารู้ว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่เล็ก โดยแม่เสียชีวิตไปในครั้งนั้น และเขามีอาการเสียงหวึ่งๆ อยู่ในหูมานับแต่นั้น

เพื่อกลบเสียงหวึ่งๆ ในหูที่ไม่เคยหายไปนี้ เบบี้เสียบหูฟังไว้ในหูสองข้างแทบตลอดเวลา และฟังเพลงร่วมสมัยต่างๆ ตั้งแต่ร็อก โซล ไปจนถึงแร็ป

แม้จะไม่เคยห่างจากหูฟังที่เสียบหูอยู่ แต่เบบี้ก็ได้ยินเสียงอื่นๆ และเก็บเนื้อถ้อยกระทงความได้ครบถ้วนแบบไม่มีผิดเพี้ยนอย่างน่าอัศจรรย์

จะว่าไป เขาก็เหมือนกับสิ่งที่เราเรียกว่า “อัจฉริยะปัญญาอ่อน” คือเปรื่องปราดเกินคนอื่นในขณะที่ดูทึ่มๆ แทบไม่พูดไม่จาสื่อสารกับใครเกินไม่กี่ประโยค

สไตล์การเดินเรื่องของหนังหลายบทหลายตอน สร้างอารมณ์ร่วมให้แก่คนดูพร้อมไปกับเบบี้ด้วยทำนองและจังหวะของเสียงเพลงที่เขาได้ยินอยู่เต็มหูสองข้าง โดยเฉพาะในยามขับรถโฉบเฉี่ยวฉวัดเฉวียนพาเพื่อนร่วมทีมอาชญากรรมหลบหนีการติดตามและการจับกุมอย่างสุดสะวิง

กิจกรรมที่เป็นงานอดิเรกที่สำคัญอีกอย่างของเบบี้คือการ “รีมิกซ์” คำพูดและประโยคที่เขาได้ยิน โดยใช้เครื่องมือง่ายๆ ลงเป็นเทปคาสเส็ตต์เล็กๆ ซึ่งเขาติด “ชื่อเพลง” และสะสมรวมรวมไว้เป็นคอลเล็กชั่นส่วนตัว

อาทิ มีคนตั้งคำถามว่า เขาเป็นคนปัญญาอ่อนหรือหัวช้าเปล่า (Is he a retard? Is he slow or what?) ซึ่งด็อกก็ตอบอย่างได้ใจความว่า คนที่ขับรถได้เร็วขนาดเขาจะเรียกว่าช้าได้ยังไง เพียงประโยคสองประโยคนี้ เบบี้ก็อัดเสียงไว้ และนำมารีมิกซ์เป็นเพลงแบบแร็ปอย่างเก๋ไก๋

เบบี้ไม่ได้อยากวนเวียนใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงอาชญากรรมตลอดไป

อิทธิพลที่ทำให้เขาอยากออกไปพ้นจากแวดวงนี้ นอกจากโจ ซึ่งเหมือนกับพ่ออุปถัมภ์ของเขาแล้ว ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาเพิ่งได้พบและหลงรัก

เดโบรา (ลิลี เจมส์) เป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหารที่บอกว่า เธอเคยแอบอิจฉาพี่สาวที่ชื่อ แมรี่ เพราะแมรี่มีอยู่ในเนื้อเพลงหลายเพลง อย่างน้อยก็สามเพลงที่เธอนึกออก (Proud Mary เป็นหนึ่งในนั้น) ขณะที่ไม่มีเพลงเกี่ยวกับ “เดโบรา” สักเพลง

ครั้นเมื่อเบบี้บอกว่าเขาชื่อ “เบบี้” แทนที่เธอจะเห็นขันหรือประหลาดใจเหมือนคนอื่นๆ เธอกลับบอกว่า เขาโชคดีมากเพราะชื่อเขาปรากฏอยู่ในเพลงจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเลย

นี่เป็นจุดหนึ่งที่หนังใช้เสียงเพลงเป็นสื่อในการเล่าเรื่อง และทำได้อย่างแนบเนียนดีเสียด้วย

ทว่า เช่นเดียวกับหนังแทบทุกเรื่องที่เราเคยดูมา การหลงเข้าไปอยู่ในวังวนของกลุ่มอาชญากรนั้นเป็นการก้าวผิด เนื่องจากเมื่อเข้าไปแล้ว แทบจะไม่มีวันได้หลุดพ้นออกมาอย่างรอดปลอดภัย หรืออยู่ดีมีสุขได้ตลอดรอดฝั่งเลย

การทำงาน “ครั้งสุดท้าย” ของเบบี้จึงยากจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เนื่องจากเขาต้องประสบปัญหามากมาย และยิ่งพาตัวเขาเข้าสู่ความยุ่งยากทวีคูณขึ้นทุกที

ภายในแก๊งนั้นเอง ก็มีอันธพาลที่ไม่ชอบหน้าเขาหลายคน และตามราวีจองล้างจองผลาญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง

หนังใช้นักแสดงระดับแถวหน้าสองคน คือ เควิน สเปซีย์ และ เจมี่ ฟ็อกซ์ แต่ทั้งสองก็มีบทบาทไม่มาก แม้จะเป็นบทสำคัญในการเดินเรื่อง

บทสำคัญมาตกอยู่กับพระเอกของเรื่อง คือ แอนเซล เอลกอร์ต ซึ่งเราได้รู้จักมาแล้วจากหนังไตรภาคชุด Insurgent และหนังโรแมนติกหวานซึ้งชวนเศร้าเคล้าน้ำตาเมื่อไม่นานมานี้เรื่อง The Fault in Our Stars

ส่วนนางเอกคือ ลิลี เจมส์ นั้นก็ผ่านหูผ่านตาแฟนหนังมาแล้วในหนังเรื่อง Cinderella

ทั้งสองมีบทบาทที่ทำให้เราเอาใจช่วยอย่างมากให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง และหนังก็มีตอนจบที่ไม่ได้ทำให้คนดูผิดหวัง โดยที่ไม่ได้ปล่อยให้อาชญากรลอยนวลไปได้โดยไม่มีความผิด

นับเป็นหนังที่ดูได้อีกเรื่อง ด้วยสไตล์ของ “หนังปล้น” หรือ heist movie ที่ไม่ซ้ำซากจนเกินไป แถมมาด้วยตัวละครที่เราเอาใจช่วย และการใช้เพลงที่เข้ากันได้กับเนื้อหาเป็นอย่างดี ต่อให้เป็นคนที่ไม่ชอบเพลงสไตล์นี้ ก็ยังเกิดอารมณ์ร่วมตามไปได้เหมือนกัน

ได้อารมณ์ไปอีกแบบค่ะ