ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | วิรัตน์ แสงทองคำ |
ผู้เขียน | วิรัตน์ แสงทองคำ |
เผยแพร่ |
ว่าด้วยยุคก่อนซีพี
เรื่องราวศตวรรษซีพี กับตำนานธุรกิจเริ่มแรก เล็กๆ สามารถดำรงอยู่จนทุกวันนี้
ได้ติดตาม เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นำเสนอ “เมล็ดพันธุ์แห่งความยั่งยืน” มาสักพัก (กุมภาพันธ์ 2567) ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากผู้คนในสังคมไทยในเวลานี้ มากที่สุดของช่อง (YouTube ทางการ CP Group) ก็ว่าได้ (เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้เข้าชม กับช่วงเวลา) โดยเฉพาะเวอร์ชั่นสั้น ดูกระชับ เข้าประเด็น
ในฐานะ “ผู้ติดตาม” ซีพีมาหลายทศวรรษ ไม่ได้ตั้งใจรีวิว หากถือโอกาสเล่าเรื่องสาระเกี่ยวข้องให้เป็นจริงเป็นจังขึ้น เกี่ยวข้องธุรกิจเริ่มแรก บางทีอาจกระตุ้นให้มีผู้ชมมากขึ้นอีกบ้างก็เป็นไปได้
ทั้งนี้ เรียบเรียงมาจากบางตอนในหนังสือเล่มใหม่ของตนเอง (ยังไม่ได้เผยแพร่วงกว้าง) ว่าไปแล้ว หนังสือดังกล่าว ได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องเล่าของ ธนินท์ เจียรวนนท์ ผ่าน “บันทึกความทรงจำของ ธนินท์ เจียรวนนท์” หรือ My Personal History : Dhanin Chearavanont ในสื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่แห่งญี่ปุ่น-NIKKEI (2559) และหนังสือ “ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว” จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน (พิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2562)
“ประมาณปี พ.ศ.2462 คุณพ่อเดินทางมาประเทศไทย และอาศัยอยู่กับญาติ สมัยนั้นรัฐบาลไทยสนับสนุนการเข้ามาของชาวจีนโพ้นทะเล ชาวจีนแต้จิ๋วจำนวนไม่น้อยจึงได้เข้ามาประเทศไทย…” จากบันทึกความทรงจำ ฉบับ NIKKEI เปิดฉากแรกตำนานยุคก่อนซีพี โดยผู้ก่อตั้ง-เจี่ย เอ็กชอ
ในที่นี้ ตั้งใจอรรถาธิบาย ให้มีความสัมพันธ์กับความเป็นไป เข้ากับกระแส และบริบททางสังคมในภาพกว้าง
“ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับขบวนการชาวจีนอพยพมาสู่แผ่นดินสยาม เริ่มต้นครั้งใหญ่ครั้งแรกในช่วงสงครามฝิ่น (2383-2385) เมื่ออาณานิคมอังกฤษเข้ายึดครองแผ่นดินจีนตอนใต้ ซึ่งมีท่าเรือสำคัญเพื่อใช้เป็นฐานการค้าฝิ่นระดับภูมิภาค เป็นช่วงเวลานำความยากจนข้นแค้นสู่ประชาชนจีน ผลักดันให้เกิดอพยพครั้งใหญ่ สู่โพ้นทะเล ไม่ว่า สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย” (อ้างจากหนังสือ The Penguin of History World โดย J M Roberts, 2000) ต่อมาอีกช่วง ขบวนการอพยพได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น จากปีละประมาณ 2,000-3,000 คน ในช่วงสงครามฝิ่น เป็นปีละ 16,000 คนในช่วงปี 2425-2435 และเพิ่มขึ้นอีกมากถึงปีละ 68,000 คนในช่วงปี 2449-2458 (เรียบเรียงและอ้างอิงมาจากหนังสือ Capital Accumulation in Thailand 1855-1985 โดย Suehiro Akira,1996)
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายในช่วงปลายราชวงศ์จีนแผ่นดินใหญ่ ต่อเนื่องเข้าสู่ระบอบสาธารณรัฐ นำโดย ซุน ยัต เซ็น
ตำนานซีพียุคก่อนก่อตั้ง จึงอยู่ในช่วงปลายขบวนการอพยพชาวจีนโพ้นทะเลสู่แผ่นดินสยาม
มีนักวิชาการบางคนสรุปอีกว่า มิได้มาจากหลีกหนีความวุ่นวายและความอดอยากยากแค้นเท่านั้น หากเป็นขบวนการเคลื่อนย้ายผู้แสวงโชค แสวงหาโอกาส รวมทั้งตอบสนองตามความต้องการแรงงานในยุคอาณานิคม ซึ่งกำลังครอบงำและเชื่อมโยงทั้งภูมิภาค
“ร้านเจียไต๋จึง” ก่อตั้งขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แม้สงครามมีศูนย์กลางในยุโรป (2448-2452) แต่มีผลกระทบสำคัญให้อิทธิพลอาณานิคมในโลกตะวันออกเสื่อมถอย เปิดโอกาสให้เครือข่ายธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลมีบทบาทมากขึ้น
การค้าเมล็ดพันธุ์ของ “ห้างเจียไต๋จึง” เป็นเพียงกิจการเล็กๆ ตามช่องว่างที่เปิดขึ้น ตามโอกาสของผู้มาทีหลัง มีความเชื่อมโยงกับอิทธิพลอาณานิคมไม่มาก แต่มีมิติวิวัฒนาการอ้างอิงกับสังคมโลกตะวันออก
โดยเฉพาะจีน-สังคมที่มีการปลูกพืชผักสวนครัวมาช้านาน ปรากฏในวรรณกรรมเก่าแก่ ตั้งแต่ยุคก่อนคริสต์ศตวรรษ ชุมชนชาวจีนซึ่งอพยพไปในที่ต่างๆ ของโลกในเวลาต่อมา ปรากฏหลักฐานการปลูกพืชผักสวนครัวมากว่าศตวรรษด้วย อย่างชุมชนจีนอพยพในสหรัฐอเมริกา (ปรากฏใน Chinese Vegetable Gardens, Portland 1905)
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) เพิ่งรายงานเมื่อไม่นานว่า จีนเป็นประเทศส่งออกผักสวนครัวมากที่สุดในโลก โดยเริ่มเข้าสู่ระบบการค้าอย่างจริงจังในช่วงสงครามเวียดนาม
“…ชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพมาส่วนใหญ่จะยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก คุณพ่อนำเมล็ดพันธุ์ที่นำมาจากเมืองจีนขายให้แก่เกษตรกรและส่งขายให้ร้านค้าปลีก…ในปี พ.ศ.2464 คุณพ่อจึงเปิด ‘ร้านเจียไต๋จึง’ ขึ้นบนถนนเยาวราช”
อีกตอนของบันทึกความทรงจำ ฉบับ NIKKEI สอดคล้องกับเรื่องเล่าผู้ก่อตั้งกลุ่มเกษตรรุ่งเรือง (สุ่นฮั้วเซ้ง)-กิตติ ดำเนินชาญณิชย์ เกี่ยวกับเรื่องราวในวัยเด็กย่านลุ่มน้ำบางปะกง ช่วงคาบเกี่ยวการเปลี่ยนการปกครอง
“ชุมชนไทยดั้งเดิมในเวลานั้นไม่มีใครปลูกผักไว้กิน นอกจากคนไทยเชื้อสายจีน”
วิวัฒนาการการปลูกพืชผักสวนครัวในสังคมไทย ถือเป็น “ชิ้นส่วน” เล็กมากๆ และเป็นไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางการส่งเสริมการปลูกข้าว และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งเติบโตขึ้นเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ ตั้งแต่ช่วงอิทธิพลสหรัฐอเมริกา จากสงครามเกาหลี สู่ยุคสงครามเวียดนาม แต่ถือเป็นตำนานยุคก่อนซีพีที่ยาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ
เรื่องราว “ห้างเจียไต๋จึง” และ เจี่ย เอ็กชอ ในบันทึกสำคัญทั้งสองชิ้น (“บันทึกความทรงจำของธนินท์ เจียรวนนท์” และหนังสือ “ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว”) มีช่องว่างและขาดช่วงพอสมควร จากตั้งแต่ช่วงก่อตั้ง “ห้างเจียไต๋จึง” (ปี 2464) ด้วยเผชิญการเปลี่ยนทางสังคม การเปลี่ยนแปลงการปกครอง (ปี 2475) สงครามโลกครั้งที่สอง (2484-2488) จนมาถึงช่วงเปลี่ยนอีกยุคหนึ่ง ยุคต้นอิทธิพลสหรัฐอเมริกา มากับสงครามเกาหลี
ข้อมูลทางการปัจจุบันของ “เจียไต๋” (https://www.chiataigroup.com/) กล่าวถึงเหตุการณ์ไว้อย่างสอดคล้อง จาก “2464 กำเนิดร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืช ‘เจียไต๋จึง’ บนถนนทรงวาด นับเป็นผู้บุกเบิกตลาดเมล็ดพันธุ์ผักรายแรกๆ ของประเทศ” เว้นว่างราว 3 ทศวรรษ ก่อนมาถึงอีกขั้นพัฒนา “2493 เริ่มทำการตลาดและจัดจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ภายใต้ ‘ตราเรือบิน’…”
ข้างต้นเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับบางเหตุการณ์ ในสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงเวลากองทัพญี่ปุ่นมีอิทธิพลทั้งในไทยและคาบสมุทรมลายู “ในปี พ.ศ.2483 คุณพ่อยังเคยเป็นผู้แทนจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ของบริษัท TAKII ของญี่ปุ่นอีกด้วย เครือเจริญโภคภัณฑ์ กับ TAKII ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าเรื่อยมาจนถึงวันนี้…”
บันทึกความทรงจำ ฉบับ NIKKEI อีกตอนว่าไว้
Takii แห่งญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นในปี 2378 เปิดร้านขายเมล็ดพันธุ์ ณ เกียวโต ตั้งแต่ยุคเป็นเมืองหลวง ที่ที่มีการปลูกพืชสวนครัวกันมาช้านาน โดยเริ่มส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศครั้งแรกในปี 2463 (อ้างจาก https://www.takii.co.jp/)
ที่น่าสนใจขยายกิจการสู่ฮ่องกง ด้วยการร่วมทุนกับชาวกวางตุ้งคนหนึ่ง ซึ่งต่อมา หุ้นส่วนคนดังกล่าวซึ่งเกิดในมณฑลเดียวกันกับเจี่ย เอ็กชอ ได้ก่อตั้งกิจการร้านค้าเมล็ดพันธุ์ขึ้น (ราวทศวรรษ 1900) ในเขตเมืองซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง โดยระบุอย่างชัดเจนว่าใช้โลโก้ (ถือว่าตราสินค้า) WCH พิจารณาไทม์ไลน์ ถือได้ว่า คาบเกี่ยวกับกรณีเจี่ย เอ็กชอ เข้ามาเมืองไทย
ส่วนบรรจุภัณฑ์ “…บรรจุเมล็ดพันธุ์ลงในซองกระดาษและกระป๋องทำจากสังกะสี เช่นเดียวกันกับที่ใช้ใส่นมผง…” (อีกตอนจากหนังสือ “ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว”) เรื่องเล่านั้น เป็นอีกมิติเชื่อมไปยังโลกตะวันตก เชื่อว่าเกี่ยวข้อง เนสท์เล่ (Nestl?) ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจยาวนานกว่า 150 ปี สำนักงานใหญ่อยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตามหลักฐานเข้ามายังสยามตั้งแต่รัชสมัยรัชกาลที่ 5 “พ.ศ.2477 ผลิตภัณฑ์ตราหมีของเนสท์เล่ เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย” (อ้างจาก https://www.nestle.co.th/)
เป็นช่วงหลังสงครามโลก เศรษฐกิจเติบโตขึ้น สังคมเปิดกว้างขึ้น เมื่อมองผ่านบางปรากฏการณ์ อาทิ สบู่หอมตรา “นกแก้ว” (โดยบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์) เปิดตัวครั้งแรก (2490)
ในระยะใกล้เคียงกัน กับหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทย-สยามรัฐ (2493) และสถานีโทรทัศน์แห่งแรก “สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม” (2498) •
วิรัตน์ แสงทองคำ | www.viratts.com
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022