‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ชนไม่ถอย ‘ปรับทัพ-ปักหมุด 4 นโยบาย’ ปักธงคว้าชัยผ่านเป้าหมาย ‘ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ชนไม่ถอย

‘ปรับทัพ-ปักหมุด 4 นโยบาย’

ปักธงคว้าชัยผ่านเป้าหมาย ‘ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’

 

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงคุกรุ่นด้วยศึกนอกศึกใน เขย่าความมั่นคงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ให้สั่นคลอนอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นพรรคฝ่ายค้านหลายพรรค ขยับการเปลี่ยนแปลง ปรับทัพ ปรับปรุงจุดอ่อนภายในพรรคเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่ใกล้จะมาถึง

พรรคก้าวไกลเป็นอีกหนึ่งพรรคที่จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี เพื่อสื่อสารกับสมาชิกพรรคและประชาชนที่สนับสนุน ว่าในอนาคตพรรคก้าวไกลจะเดินหน้าอย่างไร

โดยเฉพาะการจะพาประเทศไทยเดินไปทางไหน หากชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าและได้เป็นพรรคที่จัดตั้งรัฐบาล ในกิจกรรม ‘เปลี่ยนประเทศไทย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ ซึ่งจัดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รังสิต) เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา

‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘The Politics ข่าวบ้านการเมือง’ วันที่ 3 พฤษภาคม 2565 ถึงประเด็นความพร้อมในการเลือกตั้ง การปรับทัพภายใน ที่ครั้งนี้ได้สมาชิกที่เป็นเลือดใหม่เข้ามาร่วมงานกับพรรค รวมถึงการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของสมาชิกพรรคบางคน เพื่อให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น กระชับและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ‘เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ ที่ทางพรรควางไว้ รวมถึงการปักหมุดชู 4 นโยบายหลักที่พร้อมจะทำทันที

ได้แก่ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, สมรสเท่าเทียม, สุราก้าวหน้า และรัฐสวัสดิการ ออกสู่สาธารณชนอีกด้วย

พิธาเผยว่า กิจกรรม ‘เปลี่ยนประเทศไทย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ ในครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจแต่ยังไม่ถึงที่สุด แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

ในส่วนของการจัดทัพใหม่คราวนี้ พรรคมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ในหลายส่วน รวมถึงได้ ‘ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ’ อดีตหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม New Dem ของพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมงานในฐานะ ‘Policy Campaign Manager หรือผู้จัดการการสื่อสารและการณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกล’ ด้วย

“การดึงตัวเอาเลือดใหม่เข้ามาผสมกับเลือดเก่าที่มีอยู่เพื่อให้มีความกลมกล่อมในการทำงานมากขึ้น อย่างคุณไอติมจะเข้ามาเป็น Policy Campaign Manager หรือ ผู้จัดการการสื่อสารและการณรงค์นโยบายของพรรค ชื่อตำแหน่งก็บอกอยู่แล้วว่าเขามีหน้าที่เอานโยบายที่มาจากการคิดทางข้อมูลและวิชาการที่อาจจะเข้าใจได้ยาก มาย่อยแล้วทำเป็นแคมเปญเพื่อที่จะสื่อสารกับพี่น้องประชาชน ว่าก้าวไกลตั้งใจจะทำอะไรเมื่อเป็นรัฐบาล แล้วจะเปลี่ยนประเทศไทยอย่างไร

นอกจากนั้น ยังมีคนมาเสริมทีมอีกเยอะ มี ‘เพชร กรุณพล’ มาเป็นรองโฆษก จากตอนแรกมีทั้งอดีต ‘ส.ส.กอล์ฟ ธัญญ์วาริน’, ‘ส.ส.มิ้นท์-สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา’, ‘ส.ส.กาย-ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์’ สมัยอนาคตใหม่ก็มี ‘คุณหมอเก่ง วาโย’ แต่คราวนี้โครงสร้างแบบนั้นอาจจะไม่ค่อยเวิร์กเท่าไร ก็เลยให้มีโฆษกคนเดียวคือ ‘ส.ส.โรม-รังสิมันต์ โรม’ กับรองสองคนคือ ส.ส.มิ้นท์กับคุณเพชร กรุณ”

“แล้วก็มีว่าที่ผู้สมัครเขตที่น่าสนใจ ทั้งมีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อนในปี 2562 หรือไม่มีเลยเข้ามาร่วมงานกับพรรคด้วย บางคนเป็นนักกิจกรรมมาก่อน บางคนเป็นนักดนตรีที่อยู่กับพี่น้องเสื้อแดงมาก่อน เราต้องการที่จะย้ำอีกครั้งว่าเราโอบรับความหลากหลาย และความหลากหลายนี้ถ้าเราบริหารจัดการให้ดี มันจะกลายเป็นจุดแข็งของพรรคเรา และเป็นสิ่งที่ทำให้พรรคเราต่างจากพรรคอื่นได้”

พิธากล่าวต่อว่า ณ ปัจจุบัน พรรคก้าวไกลมีความพร้อมมานานพอสมควร ที่ผ่านมาทางพรรคทำงานเบื้องหลัง รวมถึงเก็บข้อมูลในแต่ละเขตมาอย่างต่อเนื่อง พรรคก้าวไกลพร้อมดับเครื่องชนกับการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน

“เราสู้ในจุดยืนที่เราคิดว่ามันเหมาะสมสำหรับการเมืองไทยทั้งหมด ไม่ใช่แค่พรรคเราพรรคเดียว แต่ถ้าถึงเวลาแล้วสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนตัว อย่างเช่น ว่าที่ผู้สมัคร เรามีหลักสูตรของพรรค ในการเตรียมตัวที่จะให้เขาเป็น ส.ส. ตอนเป็นอดีตอนาคตใหม่เราอาจจะมีเวลาน้อย แต่คราวนี้มันไม่มีข้ออ้างแบบนั้นแล้ว เรามีเวลาล่วงหน้าทำกันมาเป็นปีๆ ตั้งแต่การที่คุณต้องส่งใบสมัคร สัมภาษณ์ ลองฝึกงาน ลงพื้นที่จริง กว่าที่จะมาเป็นว่าที่ผู้สมัครที่เราภูมิใจที่จะนำเสนอคนนี้ ให้มารับใช้พี่น้องประชาชนในแต่ละเขต รวมถึงตัวบัญชีรายชื่อก็เปิดรับเลือดใหม่ให้มีการสมัครเข้ามา มีทั้งคนที่เก่งเรื่องการต่างประเทศ, กลาโหม, เอสเอ็มอี, สิ่งแวดล้อม”

“พวกนี้ก็จะเอาเข้ามาผสมผสานกับเลือดเก่าเลือดใหม่ แล้วมาดูจุดแข็ง-จุดอ่อนเราคืออะไร”

 

ขณะที่ 4 นโยบายหลักที่พรรคก้าวไกลประกาศพร้อมทำทันที หากได้รับเลือกตั้งให้เป็นรัฐบาล ได้แก่ ‘ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, สมรสเท่าเทียม, สุราก้าวหน้า และรัฐสวัสดิการ’ ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนที่มีใจรักในประชาธิปไตยอยู่ไม่ใช่น้อย

แต่ก็ไม่วายถูกบางพรรคการเมืองออกมาเหน็บแกมแซะว่าเป็นนโยบายขายฝัน

เรื่องนี้พิธาเผยว่า นโยบายดังกล่าวนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ประเทศอื่นทำมาแล้วทั้งนั้น แต่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยได้เลย ปัญหาหลักมาจากความไม่ต่อเนื่องในประชาธิปไทย เชื่อว่าหากทำให้เกิดขึ้นได้ จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมาก

“สิ่งที่พวกเรานำเสนอเป็นสิ่งที่ประเทศอื่นเขาทำมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมรสเท่าเทียม ปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร สุราก้าวหน้า ญี่ปุ่นเขาก็ทำให้เห็น มันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องการที่จะทำให้แปลกใหม่ ที่มันไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยเพราะว่ามันไม่มีความต่อเนื่องในประชาธิปไทย ถ้าเอาเวลาที่ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย หารด้วยจำนวนที่มีการทำรัฐประหาร เราจะเห็นเลยว่า 3-4 ปี หยุดอีกแล้ว มันไม่มีความต่อเนื่องในการผลักดันนโยบายที่เป็นเจตจำนงของประชาชน”

“เพราะฉะนั้น ขอยืนยันว่าสิ่งที่เสนอเป็นคุณกับประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยเกิดการกระจายไม่มีการกระจุกตัวของอำนาจ ไม่มีการกระจุกตัวของเศรษฐกิจ ทำให้เกิดสิทธิชุมชนในการทำมาหากิน ไม่ได้ไปผูกอยู่กับเจ้าสัวบางกลุ่ม ทำให้ประเทศไทยกลับมายืนในเวทีสากลได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้วัฒนธรรมคุณค่าของประเทศกลับไปอยู่ในระดับสากล แล้วเราจะมีคนอย่างน้องมิลลิที่เราคิดว่าคือซอฟต์เพาเวอร์อีกมากมาย นั่นคือเป้าหมายและนโยบายที่เราอยากนำเสนอ”

“มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้แปลกประหลาด ผมว่าที่มันแปลกประหลาดคือทำไมมันยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยมากกว่า ทั้งๆ ที่ที่อื่นเขาก็ผ่านกันมาหลายปี มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง ถ้าประชาชนคนไทยเห็นด้วยกับผม แล้วก็อนุญาตให้ประชาธิปไตยมันทำงานของมันในระยะยาวไปเรื่อยๆ สิ่งที่ผมพูดมาจะได้ไม่มีใครมาคิดว่าทำไม่ได้จริง”

 

เมื่อถามถึงคอนเซ็ปต์ ‘เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ กลัวจะถูกโยงว่าเหมือนอีกพรรคหรือไม่นั้น พิธาเผยว่า

“แต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะคิด ผมก็มีสิทธิ์ที่จะอธิบาย ในมุมมองของผม เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน แน่นอนว่าในมิติของจำนวนเราหวังว่าอยากจะได้ ส.ส.มากที่สุด เพื่อที่จะไปผลักดันกฎหมาย ไปยกมือในสิ่งที่เราเชื่อ อันนี้เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่จำนวนไม่ได้เป็นมิติเดียวของคำว่าก้าวไกลทั้งแผ่นดิน ผมมีเป้าหมายทั้งส่วนตัวและของพรรค ว่าอยากจะมี ส.ส.เขต ในทุกภูมิภาคให้ได้ คำว่าก้าวไกลทั้งแผ่นดิน คือมันทั้งแผ่นดินจริงๆ ทุกภูมิภาค เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง สามารถตรวจสอบ เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนได้ทุกภูมิภาคอย่างแท้จริง ฉะนั้น ต้องให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ นั่นคือความหมายเปลี่ยนประเทศไทยก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”

ท้ายที่สุดพิธาย้ำว่า ตัวเลขทางการเมืองสำคัญก็จริง แต่การทำงานทางความคิด รักษาเอกภาพทั้งภายในพรรคและแนวร่วมนอกพรรค ก็สำคัญไม่แพ้กัน

อย่างไรก็ตาม ศึกเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะมาถึง ก้าวไกลประกาศพร้อมชนไม่ถอยอย่างแน่นอน