สงครามในบ้านของรัสเซีย! สงครามของปูตินกับคนรุ่นใหม่/ยุทธบทความ สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

ยุทธบทความ

สุรชาติ บำรุงสุข

 

สงครามในบ้านของรัสเซีย!

สงครามของปูตินกับคนรุ่นใหม่

 

ความคิดที่ไร้สติของปูตินได้คร่าชีวิตของคนหนุ่มจำนวนมาก [ในสงครามยูเครน]”

Andrei Kolesnikov (2022)

 

บทบาทของคนหนุ่มสาวในการต่อสู้ทางการเมืองปรากฏให้เห็นในทุกยุคและในทุกสังคมเสมอ ปรากฏการณ์สำคัญของบทบาททางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในศตวรรษที่ 21 คงต้องให้เครดิตกับการลุกขึ้นสู้กับระบอบเผด็จการใน “อาหรับสปริง” และตามมาด้วยการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนหนุ่มสาวในหลายเมือง ไม่ว่าในฮ่องกง เมียนมา และไทย เป็นต้น

แน่นอนว่าบทบาททางการเมืองของคนหนุ่มสาวไม่ใช่เรื่องใหม่ และเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองของหลายประเทศ แม้ในประเทศที่ระบอบเผด็จการเข้มแข็ง ก็ไม่สามารถที่จะปิดกั้นการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ได้ทั้งหมด ดังเช่นคนหนุ่มสาวในยุค “รัสเซียของปูติน” ที่แม้จะมีการใช้ระบอบอำนาจนิยมปิดกั้นเสรีภาพอย่างเต็มที่

แต่กระแสต่อต้าน “ระบอบปูติน” ในหมู่คนรุ่นใหม่ยังคงเกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ

 

กำเนิดระบอบปูติน

สหภาพโซเวียตรัสเซียล่มสลายไปกับการสิ้นสุดของสงครามเย็น พร้อมกับพาระบอบการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียที่เคยครองอำนาจอย่างเข้มแข็งล่มสลายตามไป ซึ่งส่งผลให้ความเป็น “รัฐมหาอำนาจ” ที่เคยยิ่งใหญ่ในเวทีโลกต้องถดถอย และนำไปสู่การกำเนิดของ “รัฐรัสเซีย” อีกครั้ง

การสิ้นสลายของระบอบคอมมิวนิสต์เป็นความหวังอย่างมากถึงกระบวนการการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย

และเป็นความหวังอย่างมากอีกด้วยว่า จะเป็นเส้นทางสู่การสร้างเศรษฐกิจเสรีนิยม อันจะทำให้เกิดการเดินคู่ขนานระหว่าง “การเมืองเสรีนิยม” กับ “เศรษฐกิจเสรีนิยม”

ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์จะเป็นแรงขับเคลื่อนของการสร้าง “สังคมเสรีนิยม” และจะยังผลโดยตรงให้ “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” มีความเข้มแข็งมากขึ้น และมาพร้อมกับการมีนิติรัฐ และเสรีภาพของคนในสังคม อีกทั้งมีรัฐบาลที่อดทนต่อความเห็นต่าง

แต่ทฤษฎีรัฐศาสตร์กลับมีอาการ “ชะงักงัน” เพราะผลที่เกิดขึ้นในรัสเซียกลับไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น

กล่าวคือ การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของรัสเซียไม่สามารถสร้างระบอบการเมืองแบบเสรีนิยมได้จริง และมีสภาวะแบบ “ครึ่งๆ กลางๆ”

กล่าวคือ การเลือกตั้งไม่ใช่เส้นทางที่จะนำไปสู่ความหวังของการสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่กลับนำไปสู่ระบอบที่นักรัฐศาสตร์ในสาขา “เปลี่ยนผ่านวิทยา” ต้องหันกลับมาทำความเข้าใจใหม่ อันเป็นการกำเนิดของ “ระบอบพันทาง” หรือที่เรียกว่า “ระบอบไฮบริด” (Hybrid Regime)

ระบอบเช่นนี้เป็นคำตอบถึงการขึ้นสู่อำนาจของประธานาธิบดีปูติน (และว่าที่จริง ก็ไม่ต่างกับผู้นำสายอำนาจนิยมในโลกปัจจุบันเช่นกันด้วย)… การเมืองในระบอบดังกล่าวมีสภาวะที่ไม่เป็นเผด็จการเต็มรูป แต่ก็ไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มรูป จนอาจเรียกในเชิงภาพลักษณ์ว่าเป็น “ระบอบครึ่งๆ กลางๆ” หรือเป็น “ระบอบผสม”

ในระบอบเช่นนี้ การเลือกตั้งไม่ใช่การตัดสินของประชาชนในการเลือกผู้ปกครองประเทศ แต่การเลือกตั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือของการสร้างความชอบธรรมในการขึ้นสู่อำนาจของผู้นำเก่า ขณะเดียวกันก็สร้างกติกาและข้อกำหนดต่างๆ ที่เอื้อให้ผู้นำสายอำนาจนิยมมี “ภาพลักษณ์ที่ดี” โดยใช้การเลือกตั้งเป็นการโฆษณาในเวทีโลก การเลือกตั้งแบบนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้างระบอบพันทาง และทำหน้าที่เป็น “ผงซักฟอก” ทางการเมือง ดังนั้น กระบวนการนี้จึงไม่ได้มุ่งหวังที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตย

ระบอบพันทางของการเมืองแบบ “ครึ่งๆ กลางๆ” เช่นนี้ ไม่ได้มีแต่ในรัสเซีย หากแต่เกิดในหลายประเทศในยุคปัจจุบัน จนอาจต้องกล่าวว่า ระบอบพันทางคือการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของผู้นำเก่าด้วยการเลือกตั้งภายใต้ข้อกำหนดของฝ่ายอำนาจนิยมเดิม หรือเป็นการกำเนิดของ “ระบอบเผด็จการใหม่ของศตวรรษที่ 21”

ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเป็นตัวแทนของระบอบนี้ได้ดีเท่ากับประธานาธิบดีปูติน ระบอบไฮบริดรัสเซียเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในทางทฤษฎี

ถนนการเมืองสายนี้ทำให้ประธานาธิบดีปูตินสามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบใหม่ที่มอสโกได้อย่างยาวนาน

จนเกิดสิ่งที่ขอเรียกว่า “รัสเซียของปูติน” ที่มีความเป็นเผด็จการมากขึ้นอย่างชัดเจน แม้คนหนุ่มสาวหลายคนเติบโตมากับ “ระบอบของปูติน” แต่ต้องไม่ลืมว่าคนเหล่านี้เติบโตในสังคม “ยุคหลังโซเวียต” ที่สหภาพโซเวียตรัสเซียและพรรคคอมมิวนิสต์ได้ล่มสลายไปหมดแล้ว

และพวกเขาไม่ต้องการที่จะกลับไปอยู่กับรัฐอำนาจนิยมแบบเดิม

 

ยุคหลังโซเวียต

หากย้อนอดีตสักนิด เราจะเห็นได้ว่าหลังจากการพังทลายของกำแพงเบอร์ลินในต้นเดือนพฤศจิกายน 1989 แล้ว อีกสองเดือนต่อมาคือสิ้นเดือนมกราคม 1990 สัญลักษณ์สำคัญของโลกทุนนิยมก็เกิดขึ้นในย่านใจกลางเมืองหลวงมอสโกอย่างไม่น่าเชื่อ…

ร้านแมคโดนัลด์เปิดตัวเป็นครั้งแรก และเป็น “ร้านอาหารจานด่วน” แห่งแรกของอเมริกันในสังคมรัสเซีย พร้อมกับการพัดมาของกระแสโลกาภิวัตน์ อันเป็นภาพสะท้อนถึงชีวิตใหม่ใน “ยุคหลังคอมมิวนิสต์”

คงต้องยอมรับว่าคนรุ่นใหม่ใน “ยุคหลังโซเวียต” ชอบแมคโดนัลด์ ดื่มโค้ก อ่านหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์… ต่างจากคนรุ่นพ่อแม่ของพวกเขาที่เติบโตมากับยุคของพรรคคอมมิวนิสต์และโลกสงครามเย็น หรือที่อาจเรียกว่าเป็นยุค “ชีวิตหลังม่านเหล็ก”

และคงต้องยอมรับอีกประการว่า คนใน “ยุคหลังโซเวียต” ไม่ได้ต้องการกลับไปมีชีวิตทางสังคมในแบบที่พ่อแม่ของพวกเขาต้องทนอยู่ และมีชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของ “ระบบตำรวจลับ”

แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการมีชีวิตอยู่กับ “รัสเซียของปูติน” ที่มีความเป็นเผด็จการมากขึ้น หากต้องการสังคมเสรีนิยม แม้จะถูกถากถางว่าเป็น “ชีวิตแบบตะวันตก” ก็ตาม

ประธานาธิบดีปูตินมักจะประณามคนรุ่นใหม่เหล่านี้ว่าเป็นพวก “กบฏของชาติ” ที่พยายามทำลาย “มาตุภูมิรัสเซีย” ด้วยค่านิยมตะวันตกและความคิดแบบเสรีนิยม (ถ้าเป็นสำนวนในการเมืองไทย ก็คงเรียกคนพวกนี้เป็นพวก “ชังชาติ”)… แน่นอนว่าค่านิยมของคนหนุ่มสาวรัสเซียไม่ใช่คุณค่าในแบบที่เป็น “รัสเซียของปูติน”

ดังนั้น คนรุ่นใหม่ที่เป็น “ฝ่ายโปรประชาธิปไตย” จึงกลายเป็น “ฝ่ายต่อต้านปูติน” และหันไปสนับสนุนนักการเมืองฝ่ายค้านอย่างอเลกเซย์ นาวัลนีย์ ในอีกด้าน คนเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็นเหมือน “สายลับตะวันตก” เพราะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับกระแสโลก สื่อสายนิยมปูตินจึงมักจะเรียกคนพวกนี้ว่า “แนวที่ห้า” ซึ่งเป็นภาษาเก่าที่ใช้เรียกพวกสายลับ

เราคงต้องยอมรับความสำเร็จของ “ระบอบปูติน” ที่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือในการ “ล้างสมอง” คนในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ไม่แตกต่างจากในเกาหลีเหนือ หรือประเทศกึ่งเผด็จการในเอเชีย)

ซึ่งกลไกระบอบคอมมิวนิสต์เก่าของรัสเซียมีประสบการณ์อย่างมากในเรื่องนี้ และการสื่อสารด้วยการชวนเชื่อทางการเมือง (หรืออาจเรียกในแบบไทยว่า การทำ “ไอโอ”) ทำให้คนรัสเซียคล้อยไปกับ “วาทกรรมเฟกนิวส์” ของรัฐ

ดังเช่น วันนี้คนรัสเซียเชื่อว่ายูเครนปกครองโดยรัฐบาลนาซี และกองทัพรัสเซียต้องเข้าไปช่วยปลดปล่อยดังเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

หรือเชื่อว่าการสังหารประชาชนยูเครนในหลายพื้นที่เป็นฝีมือของกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายขวาจัดยูเครน ทหารรัสเซียบริสุทธิ์และไม่เคยสังหารประชาชน และเชื่อตามประธานาธิบดีปูตินอย่างมากว่า กองทัพรัสเซียกำลัง “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ในยูเครน ไม่ใช่ “การรุกราน” และไม่ใช่ “การก่อสงคราม” อย่างที่โลกตะวันตกกล่าวหารัสเซีย แม้เรือลาดตระเวนรัสเซียจะถูกจม แต่มีทหารเรือเสียชีวิตเพียง 1 นายเท่านั้น!

แต่สำหรับในสังคมรัสเซียแล้ว ถ้าใครใช้สองคำนี้จะถูกจับกุมทันที เพราะถือเป็นการแสดงตนเป็น “ปฏิปักษ์ต่อรัฐ” ซึ่งไม่มีรัฐเผด็จการที่ไหนยอมรับท่าทีต่อต้านเช่นนี้ของประชาชน แม้กระนั้น อำนาจรัฐก็ไม่สามารถที่จะปิดกั้นการต่อต้านสงครามในสังคมรัสเซียได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นความสำเร็จอย่างสำคัญของประธานาธิบดีปูตินจึงไม่ใช่เพียงการอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานเท่านั้น แต่เป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการมีอำนาจด้วยการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางอีกด้วย

จนต้องถือว่าประธานาธิบดีปูตินเป็น “นักโฆษณาชวนเชื่อ” ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

แต่ก็เป็นความสำเร็จที่เปราะบาง เพราะรัสเซียกำลังถูกโดดเดี่ยว และการประท้วงต่อต้านในบ้านก็มีมากขึ้นด้วย

 

โลกของปูตินกำลังสั่นคลอน

แม้จะมีการควบคุมอย่างเข้มงวดในสังคมรัสเซีย แต่คนหนุ่มสาวและฝ่ายต่อต้านสงครามแสดงออกอย่างกล้าหาญทั้งภายในและภายนอกประเทศ ด้วยการประท้วง “สงครามของปูติน” เช่น ในสัปดาห์ที่สามของสงครามยูเครน นักร้องเพลงแร็พที่เป็นคนรุ่นใหม่ชาวรัสเซียจัดคอนเสิร์ตที่อิสตันบูลในตุรกี ชื่องานคือ “ชาวรัสเซียต่อต้านสงคราม” เพื่อส่งเงินไปช่วยผู้ลี้ภัยชาวยูเครนในโปแลนด์

และคำตอบที่ชัดเจนจากคนรุ่นใหม่ในยุค “หลังโซเวียต” คือ “ไม่มีที่ไหนที่คนรัสเซียจะถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายเท่ากับในรัสเซียเอง”

คำตอบเช่นนี้เป็นเรื่องน่าเจ็บปวด ฉะนั้น การต่อสู้ระหว่าง “โลกเก่าของปูติน vs โลกใหม่ของคนหนุ่มสาว” ที่แม้จะล้มรัฐบาลไม่ได้ทันที แต่ก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีอำนาจของประธานาธิบดีปูติน และเป็นภาพสะท้อนสำคัญว่า คนรัสเซียทั้งหมดไม่ได้เห็นด้วยกับการก่อสงครามครั้งนี้ แต่ผลจากการปิดกั้นข้อมูลสงครามยูเครน ทำให้คนขาดการรับรู้ข่าวสารที่เป็นจริง และเชื่อคล้อยตามไปกับ “วาทกรรมต่อต้านนาซี” ที่กองทัพรัสเซียต้องเข้าไป “ทำความสะอาด” ด้วยการกวาดล้างในยูเครน

ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงการอพยพของชาวยูเครนเพื่อหนีสงคราม แต่คนหนุ่มสาวรัสเซียส่วนหนึ่งที่วันนี้ตัดสินใจเดินทางออก ไม่ว่าจะใช้เส้นทางผ่านฟินแลนด์ หรือเข้าทางตุรกีก็ตาม พวกเขามีทัศนะไม่แตกต่างกันคือ สังคมรัสเซียกำลังเผชิญกับวิกฤตใหญ่จากนโยบายของประธานาธิบดีปูติน และมองไม่เห็นอนาคตของประเทศ การอพยพออกของคนหนุ่มสาวคือ ภาพสะท้อนของการออกเสียง “ด้วยเท้า” ที่พาตัวเองออกนอกบ้าน สงครามยูเครนทำให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้หันไปเป็นศัตรูของชาติตัวเอง

คำตอบที่เจ็บปวดในปัจจุบันคือ คนหนุ่มสาวรัสเซียเหล่านี้ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตในบ้านตัวเองได้อย่างปกติอีกต่อไป เพราะการคุกคามจากรัฐ…

ว่าที่จริงแล้ว รัฐเผด็จการที่ไหนก็เลวร้ายไม่แตกต่างกัน เป็นแต่เพียงผู้นำเผด็จการจะชื่ออะไรเท่านั้นเอง และสังคมเผด็จการก็ไม่ใช่ความหวังของการสร้างอนาคต!