ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เอกภาพ |
ผู้เขียน | พิชัย แก้ววิชิต |
เผยแพร่ |
เอกภาพ
พิชัย แก้ววิชิต
เขียน
หนังสือแม้เพียงเล่มเดียว เมื่อได้เปิดอ่าน ได้สัมผัส ได้รับรู้ถึงศาสตร์แห่งอักษร ที่ไม่ต่างอะไรกับแหล่งกำเนิดของเรื่องราวดีๆ ร้ายๆ กับความหมายที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาล
ศาสตร์แห่งอักษรที่อยู่ในบันทึกเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็สร้างความเป็นมนุษย์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยากเพราะมนุษย์เองก็ถูกหล่อหลอมและได้รับความรู้ความเข้าใจ ความเชื่อทางความคิดและจิตวิญญาณที่ถูกส่งต่อผ่านถ้อยคำที่มาจากหนังสือ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ความรู้ความเข้าใจในมุมต่างๆ ของรูปแบบชีวิต ถูกตีความจากความเป็นปัจเจกขยายแพร่ออกไปสู่สาธารณะ ที่ได้สร้างกระแสทางความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา ที่ก่อให้เกิดการขยับผลักดันผู้คน สังคม และชุมชนโลก ให้เป็นไปตามสิ่งที่เขียน จนเกิดการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่ได้อ่าน
ย่อหน้าแรกที่ออกดูจะจริงจัง ก็เพื่อที่จะกระตุ้นเตือนตัวเองให้ได้เห็นอิทธิพลของการเขียนและอำนาจจากการอ่าน
จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อได้รับรู้ถึงศาสตร์จากหนังสือที่อยู่ในมือ
แน่นอนว่าหนังสือดีๆ ที่อยู่ในมือเปลี่ยนตัวเราได้ ความรู้ความเชื่อ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
มันอาจเริ่มต้นจากความรู้สึกที่ชวนให้คิดจากนั้นผลักดันให้การกระทำ และสองสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม “สิ่งที่เขียนกับสิ่งที่อ่าน”
ในปัจจุบันขณะ ผมมีความเกี่ยวพันกับหนังสือจากด้านที่เป็นคนอ่านและยังมีอีกด้านที่เป็นคนเขียน การเป็นคนอ่านหนังสือทำให้ผมสนุก ผมมีโลกหลายใบจากหนังสือแต่ละเล่มที่ผมได้อ่าน ผมรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว การเปลี่ยนผ่านที่ทำให้เราต้องปรับตัว ผ่อนหนักผ่อนเบาไปกับชีวิต ที่บางครั้งทำให้รู้สึกได้ว่าหนังสือ นอกจากจะอ่านได้แล้ว บางเล่มยังทำหน้าที่เป็นเหมือนไม้พยุงตัวไม่ให้ล้มลงไปกับก้าวในแต่ละก้าวของชีวิต
อีกด้านของการเป็นคนเขียน ผมเองต้องขอสารภาพว่าผมไม่เคยเขียนอะไรมาก่อน ผมไม่เคยเขียนแม้กระทั่งเรื่องราวชีวิตของตัวเองลงในสมุดบันทึกประจำวันเลยแต่อย่างใด
เหตุผลเดียวที่ผมให้กับตัวเองคือ ผมเป็นคนธรรมดาที่ว่างเปล่าและเบาหวิว ไม่จำเป็นที่ควรจะกล่าวถึง ที่จะจดจำ หรือบันทึกชีวิตให้เปลืองน้ำหมึกของปากกาและไม่อยากให้เปลืองหน้ากระดาษที่อาจเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมเสียเปล่าๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
นั่นเป็นแนวความคิดก่อนหน้านี้ที่ไม่เข้าท่า และมันมาจากการที่ผมไม่รู้จักตัวเองดีพอ
มีบางสิ่งได้เกิดขึ้น เมื่อผมเขียนมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอ่านตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น ในแต่ละวัน ในแต่ละสัปดาห์ ในแต่ละเดือน
มันเป็นช่วงเวลาที่ได้อ่านตัวเองจากการเขียน ทีละคำ ทีละประโยค ทีละย่อหน้า ทีละหน้า ทีละตอน
ยิ่งเขียนเหมือนยิ่งได้อ่าน ยิ่งได้อ่านยิ่งได้รู้จักมากขึ้น มันเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการได้ว่ามีหน้าไหนของตัวผมบ้างที่ยังไม่ได้เปิดอ่านอย่างละเอียด ในแต่ละตอนของชีวิตที่ได้อ่าน
มันสะท้อนให้เห็นสาระแก่นสารอะไรบ้างที่พอจะเป็นประโยชน์กับตัวเองในตอนต่อไป ที่อาจพอนำมาใช้เป็นข้อมูลตรงในงานเขียนได้บ้าง เพราะอย่างน้อยก็น่าจะมาจากแหล่งข้องมูลที่น่าเชื่อถือ เพราะผมไม่ฉลาดพอที่จะหลอกตัวเองได้
เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้ หลักใหญ่ใจความที่สำคัญไม่ใช่การบอกเล่าความในใจของตัวผมเอง แค่อยากให้ใครบางคนได้รู้สึกและเห็นความสำคัญของตัวเอง
ลองเขียนอะไรบ้างเล็กๆ น้อยๆ “อย่าสรุปตัวเองเหมือนหนังสือที่ยังไมได้เปิดอ่าน” มันเสี่ยงเกินไปที่จะไม่รู้จักตัวเองให้ดีพอ
ผมเชื่อว่าหลายคนยังมีเวลาอยู่ในช่วงจังหวะที่เหมาะสม ที่ได้จะเริ่มต้นเขียนเพื่อจะได้อ่านและรู้จักตัวเองเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคย มีความสุขเล็กน้อยมหาศาลจากสิ่งที่เขียนในการที่จะได้อ่านตัวเองรออยู่ ค่อยๆ เขียนทีละหน้าค่อยๆ อ่านทีละตอนนะครับ
บันทึกรายวันที่รายล้อมไปด้วยรายละเอียดของชีวิต ผ่านถ้อยคำที่ได้เขียน และไม่ได้คาดหวังว่าใครๆ จะได้อ่านมัน นอกจากตัวเอง มันจะเป็น “เรื่องราวของคนเขียนคนหนึ่งที่ได้อ่านตัวเองจากสิ่งที่เขียน”
ขอบคุณมากมายครับ •