ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 กันยายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
กรณีการล้มป่วยลงด้วยอาการที่น่าพิศวงของเจ้าหน้าที่ทูตอเมริกันหลายคนที่ไปประจำการอยู่ที่กรุงฮาวานา ประเทศคิวบา จนต้องมีการส่งเจ้าหน้าที่ทูตเหล่านั้นกลับมารักษาตัวในสหรัฐอเมริกาที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นประเด็นที่สร้างความฉงนและจุดความสงสัยให้กับรัฐบาลสหรัฐที่เป็นต้นสังกัดอยู่ไม่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้น
จนต้องทำการสืบสวนค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อความกระจ่าง ก่อนจะฟันธงว่าอะไรเป็นอะไร มีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือไม่
เหตุที่ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าอาจมีเบื้องลึกที่มากกว่าการล้มป่วยธรรมดาหรือไม่ เป็นเพราะอาการของเจ้าหน้าที่ทูตอเมริกันที่ประจำการอยู่ในกรุงฮาวานาเหล่านั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกันคือ สูญเสียการได้ยินเป็นการถาวรและมีอาการบาดเจ็บทางสมองอย่างอ่อนๆ ที่ยังนำไปสู่อาการปวดหัวอย่างรุนแรง สูญเสียการทรงตัว กระบวนการรับรู้มีปัญหา และสมองบวม
กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐที่ออกมาอัพเดตสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว บอกว่ามีเจ้าหน้าที่ทูตอเมริกันในคิวบาที่ล้มป่วยด้วยลักษณะอาการคล้ายกันนี้เพิ่มขึ้นเป็น 19 คน
โดย 2 รายที่เพิ่มขึ้นมาล่าสุดเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จากที่ปัญหาโรคปริศนาที่เจ้าหน้าที่ทูตอเมริกันในคิวบาประสบเริ่มปรากฏขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
และเกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐเปิดทำการสถานทูตสหรัฐในกรุงฮาวานาขึ้นใหม่เมื่อปลายปี 2558 หลังจากรัฐบาลสหรัฐในสมัยประธานาธิบดี บารัค โอบามา และคิวบากลับมาสถาปนาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกันใหม่จากที่ตัดขาดกันไปนานกว่าครึ่งศตวรรษตั้งแต่ช่วงยุคสงครามเย็น
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น กระทรวงต่างประเทศสหรัฐชี้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และยังเตือนคิวบาว่าจะต้องรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ทูตที่อยู่บนผืนแผ่นดินคิวบา
ขณะที่ก่อนหน้านั้นสหรัฐยังได้ขับนักการทูตคิวบา 2 รายที่ประจำอยู่ในกรุงวอชิงตันพ้นประเทศ เพื่อเป็นการประท้วงคิวบาที่ล้มเหลวในการปกป้องเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ
วันเดียวกันนั้นสหภาพแรงงานที่เป็นตัวแทนของนักการทูตอเมริกันและเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์นานาชาติออกมาเปิดเผยข้อมูลอีกทางหนึ่งที่ระบุว่าได้มาจากเจ้าหน้าที่ทูตอเมริกัน 10 ราย ซึ่งล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ในประเทศคิวบา โดยทั้งหมดได้รับการวินิจฉัยทางการแพทย์ว่ามีลักษณะอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากนี้ ยังมีรายงานกรณีของนักการทูตแคนาดาที่ประจำอยู่ในกรุงฮาวานา เกิดล้มป่วยจากการสูญเสียการได้ยินเช่นกันเมื่อปลายปีที่แล้ว
การล้มป่วยเป็นปริศนาทั้งหมดของนักการทูตที่เกิดขึ้นยังคงเป็นความคลุมเครือและสหรัฐเองยังไม่เคยปริปากฟันธงว่าใครอยู่เบื้องหลัง
แต่แน่นอนว่าจำเลยในกรณีนี้หนีไม่พ้น “คิวบา” ในฐานะเจ้าของพื้นที่ซึ่งมีประวัติความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกับสหรัฐมาอย่างยาวนาน
แม้สัมพันธ์จะปรับดีขึ้นในช่วงท้ายรัฐบาลโอบามาก็ตาม แต่ก็กลับมาง่อนแง่นขึ้นอีกในรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์
โซนิก แอทแท็ก หรือการโจมตีด้วยคลื่นเสียง เป็นทฤษฎีอยู่ในกระแสที่มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไปว่าเจ้าหน้าที่ทูตอเมริกันเหล่านั้นอาจตกเป็นเหยื่อของการโจมตีด้วยอาวุธลับชนิดนี้ ที่ไม่ได้ถือเป็นอาวุธใหม่แต่ประการใด
เพราะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเยอรมนีก็เคยนำยุทธวิธีนี้มาใช้จัดการกับฝ่ายศัตรู โดยการตั้งข้อสันนิษฐานดังกล่าวอาจพิจารณาจากลักษณะอาการที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ทูตอเมริกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าคล้ายกับการถูกโจมตีด้วยคลื่นเสียง
เพราะหากมนุษย์เราที่ได้รับคลื่นเสียงที่รุนแรงเข้าไป ก็อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ปวดหัว ทรงตัวลำบาก อาเจียน ลำไส้หดเกร็ง สูญเสียการได้ยินเป็นการถาวร จนถึงสมองถูกทำลายเสียหายขึ้นได้
จากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่าคลื่นเสียงที่สามารถใช้เป็นอาวุธโจมตีได้ยังแบ่งเป็น คลื่นเสียงความถี่ต่ำสุด ที่เรียกว่า อินฟราซาวด์ ซึ่งมีระดับเสียงต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์ และคลื่นเสียงความถี่สูง
หรืออัลตราซาวด์ มีระดับสูงกว่า 20,000 เฮิรตซ์
ด๊อกเตอร์โทบี เฮย์ส ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคลื่นเสียง ให้ความเห็นกับนิวไซเอ็นทิสต์ว่า การใช้อินฟราซาวด์ในการโจมตี จะต้องใช้ลำโพงหรือเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่มาก ซึ่งยากต่อการอำพรางซ่อนเร้นในการโจมตี
ส่วนการใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ ซึ่งเป็นคลื่นเสียงที่แม้มนุษย์จะไม่ได้ยิน แต่ทว่าคลื่นเสียงชนิดนี้มีอานุภาพทำลายโสตประสาทการได้ยินได้อย่างมาก
อย่างไรก็ดี แม้คลื่นเสียงจะไม่ใช่อาวุธใหม่ในการทำสงครามโจมตี แต่ก็ยังมีคำถามตามมาด้วยในกรณีนี้ว่า คิวบามีขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากพอที่จะพัฒนาอาวุธลับเช่นนี้เพื่อกลับมาเล่นงานยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐได้จริงหรือ?!