ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 เมษายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ
ฟ้าผ่า ททบ.5 แผ่นดินไหวทัพบก
สัญญาณร้าว ‘บิ๊กตู่-บิ๊กบี้’?
เขย่าเก้าอี้ ทบ.1
ตท.23-24 วัดพลัง
ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) แผ่นดินไหวถึงกองทัพบก กำลังถูกตั้งคำถามว่าเป็นการส่งสัญญาณจากทำเนียบรัฐบาล หรือไม่
แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นใน ททบ.5 จนบิ๊กตี๋ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 ต้องยื่นหนังสือขอพ้นหน้าที่ก็ตาม
แต่ข่าวที่สะพัดใน ททบ.5 ก็วนเวียนอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ และยิ่งหากฟังคำชี้แจงของนายกฯ เรื่องการเสนอข่าวสงครามรัสเซียกับยูเครนด้วยแล้ว ก็ตรงกับเหตุผลที่ ททบ.5 ถูกเตือนก่อนหน้านั้น
“เวลาไปวิเคราะห์อะไรมากเกินไป ก็จะเกิดปัญหาภาพรวมของประเทศเรา รัฐบาลมีนโยบายเพียงแต่ว่า อย่าไปร่วมขัดแย้งกับเขา เสนอข่าวตามข้อเท็จจริง บางเรื่องก็ไม่เหมาะสมที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรมากมายนักหรอก มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับเรา” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยืนยันว่า “จริงๆ แล้วผมไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว เพราะผมไม่ได้เป็น ‘ผบ.ทบ.’ แล้ว” เป็นเรื่องภายใน ที่เขามีคณะกรรมการเขาตรวจสอบคัดกรองกันเอง ผมไม่ได้ไปยุ่งก็ตาม
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็น รมว.กลาโหม และเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารเก่า ที่ถือเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง และเป็นรุ่นพี่เตรียมทหาร ที่จะต่อสายคุย เตือน ติติง ว่ากล่าวกันได้
หากย้อนไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ใน ททบ.5 จะเห็นถึงความผิดปกติ เพราะการที่ พล.อ.รังษีลงนามความร่วมมือกับเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย พร้อมลงนามความร่วมมือในการเสนอข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสงครามรัสเซียกับยูเครน เพื่อจะถ่วงดุลการเสนอข่าวของสื่อในประเทศไทย ที่มักจะเสนอข่าวตามสื่ออเมริกันและสื่อตะวันตก จนกลายเป็นเหยื่อสงครามข่าวสารนั้น กระทรวงการต่างประเทศ และรัฐบาล โดยเฉพาะตัว พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้รับรู้มาก่อน
เมื่อเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะเป็นสื่อของกองทัพบกที่เป็นหน่วยงานของรัฐบาล แต่เลือกข้าง และไม่เป็นกลาง สวนทางกับนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลที่ประกาศต่อองค์การสหประชาชาติไปแล้ว
จึงมีการ “เตือนครั้งที่ 1” เกิดขึ้น
แต่ด้วยบุคลิกลักษณะของ พล.อ.รังษี จึงต้องการที่จะยืนยันในความถูกต้อง จึงนัดที่จะแถลงข่าวชี้แจง แต่ก็ถูกสั่งระงับกลางครัน
ถึงขั้นที่ พล.อ.รังษีต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยการไปเจรจากับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย และทำความร่วมมือในการเสนอข่าวด้วย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทั้งรัสเซียและยูเครน
ทำให้เกิด “การเตือนครั้งที่ 2” ตามมา คือให้งดการเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับสงครามรัสเซียและยูเครน ที่เริ่มสร้างความไม่พอใจให้แก่ทีมข่าวจากบริษัทเอกชนที่มารับจ้างผลิตข่าว
แต่จู่ๆ ทีมข่าวก็กลับมามีการเสนอข่าวอีก ถือเป็นการขัดคำสั่ง จนทำให้ ททบ.5 ต้องตัดสัญญาณในการออกอากาศทันที และส่งผลให้ทีมข่าวเกิดความไม่พอใจ จนเป็นที่มาของการถอนตัวออกจาก ททบ.5 และตามมาด้วยการยื่นใบลาออกจาก ผอ.ททบ.5 ของ พล.อ.รังษี
ท่ามกลางการจับตามอง และข้อกังขาว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับทีมข่าวที่เคยสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์มาตลอด จึงมีการลองของ หรือเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน
ก่อนที่คำเตือนครั้งที่ 3 ตามมา ว่าอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก
รวมทั้งท่าทีของ พล.อ.รังษี ที่เป็นสไตล์ทหารม้าไม่กลัวใคร และพูดจาโผงผาง จนทำให้คำพูดเป็นภัยแก่ตัวเอง
เมื่อมีรายงานถึงทำเนียบว่า ได้มีการพูดพาดพิง พล.อ.ประยุทธ์ ในลักษณะของการวิพากษ์วิจารณ์แบบที่ไม่มีนายทหารคนไหนหาญกล้าที่จะพูด
รวมทั้งการให้สัมภาษณ์สื่อของ พล.อ.รังษีที่ระบุว่า “เป็น ผอ.ททบ.5 มาปีครึ่ง ผบ.ทบ.ยังไม่เคยสั่ง” ที่ถูกตีความว่า กระทบชิ่งเจ้าของคำสั่ง ต่อ ททบ.5 หรือไม่
และยังชื่นชมบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. เพื่อนรักร่วมรุ่นเตรียมทหาร 22 ที่คบกันมา 43 ปี ที่เป็นทหารอาชีพ และเป็นยุคที่ทิ้งระยะห่างกับฝ่ายการเมือง
กล่าวได้ว่าคำพูดและท่าทีของ พล.อ.รังษี ถูกเชื่อมโยงกับการเป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้กับ พล.อ.ณรงค์พันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกทั้งเป็นที่รู้กันดีว่าระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ณรงค์พันธ์นั้นมีระยะห่าง เนื่องจากรุ่นเตรียมทหารห่างกันถึง 10 รุ่น ไม่ทันกันในโรงเรียน ทั้งเตรียมทหาร และนายร้อย จปร. และไม่เคยรับราชการทำงานใกล้ชิดกันมาก่อน
จนทำให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ถูกมองว่าไม่ใช่สายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ และดูจะไม่ค่อยสนองนโยบายของนายกฯ เท่าใดนักเมื่อเทียบกับยุคบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็น ผบ.ทบ.
อีกทั้งที่ผ่านมา พล.อ.ณรงค์พันธ์มักไม่ค่อยมาร่วมประชุมหารือร่วมภารกิจกับ พล.อ.ประยุทธ์เท่าใดนัก เพราะติดภารกิจการประชุมหลัก เนื่องจากเป็นทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904
ประกอบกับบุคลิกของ พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ไม่มีมุขตลก จึงทำให้ดูว่ามีท่าทีที่เรียบเฉยต่อ พล.อ.ประยุทธ์
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ส่งผลสะเทือนต่อเก้าอี้ “ทบ.1” ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ด้วย พล.อ.รังษีจึงต้องตัดสินใจลาออก อย่างน้อยก็เป็นการลดแรงกระแทกที่ถาโถมใส่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ด้วย เพราะ พล.อ.รังษีย่อมรู้สถานการณ์ใน ทบ. และความสัมพันธ์ระหว่างนายกฯ กับ ผบ.ทบ.เป็นอย่างดี
เพราะหากการที่ พล.อ.รังษีไปลงนามความร่วมมือกับสถานทูตรัสเซีย ที่เป็นการสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลไทย ที่ประกาศจุดยืนในการเป็นกลาง กรณีสงครามรัสเซียกับยูเครน ถือเป็นความผิดพลาด ไม่ใช่แค่ ผอ.ททบ.5 เท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ แต่สะเทือน พล.อ.ณรงค์พันธ์ด้วย เพราะรับรู้แต่ไม่ได้คัดค้านโครงการนี้
ด้วยเหตุที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ และ พล.อ.รังษี เป็นเพื่อนรักเตรียมทหาร 22 และ จปร.33 มาด้วยกัน และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ก็เชื่อมือ พล.อ.รังษีมาตลอด จึงไม่ต้องมาสั่งการ หรือก้าวก่าย และก็เห็นดีด้วยเสมอมา
เมื่อแรกที่ พล.อ.รังษียื่นหนังสือลาออกให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์นั้นก็คิดว่า เพื่อนรักจะยื้อ หรือไม่อนุมัติ แต่ปรากฏว่า ในที่สุด พล.อ.ณรงค์พันธ์ก็เซ็นคำสั่งให้เช้า 29 มีนาคม 2565 ก่อนเดินทางไปเยือนลาว มีผล 7 เมษายน 2565
ที่อาจจะเป็นการผิดคาดของ พล.อ.รังษีที่คิดว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์จะยื้อยุดเอาไว้ก่อน จนถึงขั้นที่ พล.อ.รังษีให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านั้นว่า ไม่ลาออก “ตอนนั้นผมก็ไม่มั่นใจว่า ผบ.ทบ.จะเซ็นอนุมัติให้ผมพ้นจากตำแหน่ง ผอ.ททบ.5 หรือไม่”
“มีคนเลื่อยขาเก้าอี้ผมหรือเปล่าไม่รู้ แต่คนเรา มีคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ เมื่อเราล้ม มีคนรอเหยียบเราอยู่” พล.อ.รังษีระบุ
โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ตั้งบิ๊กเหน่ง พล.ท.วิสันติ สระศรีดา เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ให้ทำหน้าที่แทนไปก่อน เพราะก็จะเกษียณกันยายน 2565 นี้แล้ว ขณะที่ พล.อ.รังษียังมีอายุราชการถึงกันยายน 2567
“แต่ตอนนี้ ระหว่างผมกับณรงค์พันธ์ สายการบังคับบัญชาสิ้นสุดลงแล้ว แต่ความเป็นเพื่อนยังคงอยู่ และยืนยันว่าผมไม่ได้โดน ผบ.ทบ.ปลด แต่ผมยื่นหนังสือเพื่อขอพ้นหน้าที่เอง แต่ผมไม่ได้งอน หรือไม่พอใจเพื่อนผมนะ” พล.อ.รังษีกล่าว
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ก็เจอแรงกดดันไม่น้อย จนต้องปลดเพื่อนรักพ้น ผอ.ททบ.5 แม้จะเป็นเพราะการยื่นหนังสือลาออกเองก็ตาม แต่ก็ถูกมองว่าเป็นการตัดตอนความรับผิดชอบได้ในทางหนึ่ง
ด้วยเพราะในกองทัพเป็นที่รู้กันว่า เกิดความหวาดระแวงระหว่างเตรียมทหารรุ่น 22 ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กับเตรียมทหารรุ่น 23 ภายใต้การนำของบิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผช.ผบ.ทบ. ที่เป็นเต็งหนึ่งจ่อขึ้น ผบ.ทบ.อยู่ แต่ต้องรอจนกว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์จะนั่งครบ 3 ปี จะเกษียณราชการกันยายน 2566 ขณะที่ พล.อ.เจริญชัยมีอายุราชการแค่กันยายน 2567 เท่านั้น
ในห้วงที่ผ่านมาจึงมีกระแสข่าวความพยายามที่จะเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. จาก พล.อ.ณรงค์พันธ์มาเป็น พล.อ.เจริญชัย ที่เป็นน้องรักสายตรง สายทหารเสือราชินีของ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อมาเป็นผู้ช่วยดูแลกองทัพบก ที่เป็นเหล่าทัพใหญ่ที่สุดให้ พล.อ.ประยุทธ์ ในการตอบสนองนโยบายและคำสั่งการต่างๆ รวมถึงการแสดงออกถึงการปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ในบางสถานการณ์บ้าง
แต่ที่ผ่านมาในยุค พล.อ.ณรงค์พันธ์ดำรงความเป็นทหารอาชีพไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองและไม่ให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นในเรื่องการเมืองเลยด้วยซ้ำ ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่ดีสำหรับทหารอาชีพ แต่อาจไม่เป็นที่ถูกใจของฝ่ายการเมืองนัก
ที่สำคัญ ในการโยกย้ายปลายปีนี้ พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม จะเกษียณราชการ ตำแหน่งจะว่างลง จึงเริ่มเกิดกระแสข่าวลือว่ามีปฏิบัติการวัดพลังกันเกิดขึ้น
ด้านหนึ่ง ก็มีกระแสข่าวลือว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์อาจจะส่ง พล.อ.เจริญชัยข้ามไปเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม
อีกกระแสมีข่าวว่า เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นใน ททบ.5 ทำให้กระแสข่าวลือสะพัด ว่าอาจจะเปลี่ยน ผบ.ทบ.
ทำให้บรรยากาศระหว่าง ตท.22 และ ตท.23 รวมถึงระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ไม่สู้ดีนัก
แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วการย้าย ผบ.ทบ.ไม่ใช่เรื่องง่าย ในอดีตที่ผ่านมาหากจะมีการย้าย ผบ.ทบ.ทีไร มักจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นเสมอ แต่สถานการณ์ในยุคเปลี่ยนผ่านนี้ การปฏิวัติรัฐประหารอาจเกิดขึ้นได้ยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น
อีกทั้ง ผบ.ทบ.ยังไม่ได้ทำอะไรผิดมหันต์ และ พล.อ.รังษีก็แสดงสปิริตขอพ้นตำแหน่ง ผอ.ททบ.5 ไปแล้ว
ที่สำคัญ พล.อ.ณรงค์พันธ์ก็เป็น ผบ.ทบ.คอแดง ที่มีแบ๊กอัพไม่ธรรมดา ใช่ว่าจะมาโยกย้ายกันได้ง่ายๆ แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมี พล.อ.อภิรัชต์น้องรักเป็นกำลังสำคัญก็ตาม
ขณะที่การจะเด้ง พล.อ.เจริญชัย น้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ ไปเป็นปลัดกลาโหมก็ไม่ง่ายเช่นกัน อีกทั้งมีบิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ รองปลัดกลาโหม ที่เป็นน้องรักของประยุทธ์ และบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นเต็งหนึ่ง รอขึ้นแท่นอยู่แล้ว แม้จะเป็นรุ่นน้อง ตท.24 และมีอายุราชการถึง 2568 ก็ตาม
ทั้งหมดนี้จึงเป็นการบริหารอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้เห็นว่ายังเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม และเป็นนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมที่มีอำนาจเต็ม และจะไม่ยอมให้ใครมาท้าทายอำนาจ ยิ่งถ้าเป็นรุ่นน้องสายเลือดเตรียมทหารด้วยแล้ว ก็เคยเห็นกันมาแล้ว
แม้เรื่องใน ททบ.5 จะดูเหมือนจบแล้ว แต่สำหรับในกองทัพบก ปัญหากำลังปะทุขึ้นมา บรรยากาศร้อนระอุขึ้นจากความเคลื่อนไหวในห่วงที่ผ่านมา
ยิ่งเป็นช่วงปลายรัฐบาลด้วยแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้