คำ ผกา | เข็ดแล้วคนดีมีประยุทธ์เป็นผู้นำ

คำ ผกา

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ของประเทศไทยนั้นเยาว์วัยมาก มีอายุเพียง 90 ปีเท่านั้นนับจาก 2475 และเป็น 90 ปีที่ลุ่มๆ ดอนๆ มีการรัฐประหารอยู่กือบทุกๆ 10 ปี

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ ในบรรดานายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหาร ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเป็นคนที่อยู่ในอำนาจนานที่สุด และเป็นการอยู่ในอำนาจที่สร้างความประทับใจให้กับประชาชนน้อยที่สุด

แม้แต่คนไทยที่สนับสนุนการรัฐประหารยังยอมรับว่า ถ้าได้คนเก่งกว่านี้เป็นนายกฯ มันน่าจะดีกว่านี้หรือเปล่า?

การรัฐประหารที่เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นการรัฐประหารที่ตระหนักว่า การรัฐประหารเป็นสิ่งที่ประชาชนจะไม่ยอมรับ เว้นเสียแต่มาด้วยเหตุผลว่า มาเพื่อกอบกู้ประเทศให้พ้นจากวิกฤตเพียงชั่วคราวเท่านั้น

หลังรัฐประหาร เมื่อจัดระเบียบทางอำนาจได้เสร็จสมบูรณ์แล้วให้รีบลงจากอำนาจ แล้วใช้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นหุ่นเชิดให้แทน ทั้งนี้ เพื่อให้การรัฐประหารยังคง “ได้รับความนิยม” อยู่ต่อไปในสังคมไทย และต้องยอมรับว่าทำได้ค่อนข้างประสบความสำเร็จ เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยสมาทานภาพจำว่า ทหารคือฮีโร่ที่จะเข้ามากอบกู้ประเทศในยามคับขัน เสร็จภารกิจแล้วก็จะกลับเข้ากรมกองตามปกติ

และการรัฐประหารที่ดำเนินไปบนไวยากรณ์นี้ล่าสุดคือการรัฐประหารปี 2549

แต่เนื่องจากทุกสังคมมีพลวัต ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ การรัฐประหารจึงไม่ได้ลงเอยด้วยการได้มาซึ่งรัฐบาลหุ่นเชิดของเผด็จการอีกต่อไป

หลังการรัฐประหาร รัฐบาลมาจากพรรคการเมืองที่ครองใจประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีพรรคไหนทำได้คือพรรคเพื่อไทย การรัฐประหารที่เกิดขึ้นในปี 2557 จึงไม่สามารถทำตามไวยากรณ์เดิมได้อีกต่อไปคือ รัฐประหารแล้วรีบลงจากอำนาจ แผ้วถางทางให้มีรัฐบาลพลเรือนที่เป็นหุ่นเชิดของตัวเองมาบริหาร (เพื่อรักษาความชอบธรรมของรัฐประหารให้ยาวนานสืบไป)

ตรงกันข้าม ให้หัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกฯ ยาวนานถึง 5 ปี ซื้อเวลาร่างรัฐธรรมนูญจนได้มาซึ่งกติกาการเลือกตั้งและอำนาจในการเลือกนายกฯ ของ ส.ว.อย่างพิสดารจนทำให้หัวหน้าคณะรัฐประหารอยู่ในอำนาจต่อจนรัฐบาลจวนครบวาระในแบบที่ไม่มีผลงานที่เข้าตาประชาชน

ซ้ำร้ายยังมีผลงานประจานความล้มเหลวมากอย่างชนิดบรรยายไม่หมด

ตั้งแต่ผลพวงของการใช้มาตรา 44 อย่างเมามันตั้งแต่เหมือนทองอัครา ผลงานความล้มเหลวในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สัญญาหรือวางไว้เป็นนโยบาย ไม่สามารถทำได้ตามที่หาเสียง

เรียกได้ว่าประเทศไทยอยู่ในยุคตกต่ำอย่างเหลือเชื่อ

 

ความพยายามรักษาอำนาจจึงส่งผลในเชิงทำลายด้วยเช่นกัน

นั่นคือทำให้ความชอบธรรมของการทำรัฐประหารหมดไปจากสังคมโดยสิ้นเชิง

ต่อไปนี้ไม่สามารถอ้างได้แล้วว่า ทหารเสียสละมาทำรัฐประหารและจะอยู่ในอำนาจเพียงชั่วคราว

เพราะประยุทธ์ได้ทำลายคำอธิบายนั้นลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง

และการอยู่ในอำนาจนานเกินไปก็ทำให้ไม่สามารถหาข้อแก้ตัวได้ว่าทำไมไม่มีผลงานที่น่าชื่นชมเลยแม้แต่ผลงานเดียว

เรียกว่ายิ่งอยู่นานยิ่งประจานความล้มเหลว ยิ่งอยู่นานคนยิ่งเห็นว่าคนคนนี้ทำงานไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าการบริหารประเทศคืออะไร

นายกฯ ที่มาจากการรัฐประหารคนอื่นก็อาจจะไม่ได้ฉลาดกว่าประยุทธ์เท่าไหร่ แต่ไม่ได้อยู่นานพอจนทำให้ประชาชนรู้ว่าคนคนนี้โง่มาก

ดังนั้น ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าสังคมไทยยุค Post ประยุทธ์ อย่างน้อยที่สุดจะเป็นสังคมที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า การรัฐประหารเป็นอาชญากรรมในทุกกรณี

เพราะมันคือการปล้นอำนาจของประชาชน

หากเราเชื่อว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตั้งอยู่บนหลักการว่า ประชาชนคือเจ้าของอำนาจ และการทำรัฐประหารบนข้ออ้างฝ่าวิกฤตชั่วคราว ไม่มีอยู่จริง

ประยุทธ์ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้ว และราคาของเวลาและโอกาสที่เราคนไทยสูญเสียไปนั้นมันมีราคาแพงขนาดไหน

เกือบ 9 ปีภายใต้ประยุทธ์ คือห้องเรียนทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่มากของคนไทยและสังคมไทย ฉันไม่เชื่อว่า เราคนไทยจะเข้าใจความสำคัญของพรรคการเมือง การเลือกตั้ง บทบาทของ ส.ส. และการเมืองท้องถิ่นว่ามันสำคัญขนาดไหน จนกระทั่งเรามีโอกาสมีชีวิตอยู่ภายใต้นายกฯ ที่ชื่อประยุทธ์ ที่ทำให้เราเรียนรู้ว่า อย่าว่าแต่ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ อย่างชาติชาย นายกฯ อย่างบรรหาร ศิลปอาชา อย่างชวลิต ยงใจยุทธ ก็ยังทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขาเป็นนายกฯ ที่อาจจะไม่เก่งกาจ แต่อย่างน้อยก็ทำหน้าที่ของนายกฯ ที่พึงมีพึงทำ

ถึงตอนนี้คนไทยควรได้ข้อสรุปเสียทีว่า ประชาธิปไตยไม่ได้รับประกันว่าเรามีรัฐบาลที่เก่ง มากความสามารถ มีนายกฯ ที่เข้ามาปุ๊บ เปลี่ยนแปลงประเทศได้ทันที ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนได้ทันที

แต่อย่างน้อยที่สุด นายกฯ คนนั้นจะไม่สามารถบริหารประเทศแบบมักง่ายไปวันๆ เพราะไม่ต้องรับผิดชอบต่อเสียงของประชาชนคนไหนเลยแม้แต่เสียงเดียว และต้องให้ความเคารพต่อสภา ต่อการทำงานของฝ่ายค้าน เคารพกระบวนการตรวจสอบตามกลไกรัฐสภา อันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ประยุทธ์ไม่เคยทำ

เกือบ 9 ปีภายใต้ประยุทธ์ คนไทยจำนวนมาก และคนรุ่นใหม่เกือบทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันว่า การกระจายอำนาจคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่การพัฒนาที่แท้จริง

การที่ท้องถิ่นถูกฟรีซไม่ให้มีการเลือกตั้งโดยสิ้นเชิงมาหลายปีทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการมีอยู่ของหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เราไม่เคยตื่นเต้นกับการเลือกตั้ง อบจ. เทศบาล อบต. มากขนาดนี้

และเราเริ่มเข้าใจว่า หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเราขนาดไหน

หลายๆ โครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนถูกระงับไปจากการตรวจสอบของ สตง.

แค่นี้ก็ทำให้เรารู้ว่า องค์กรอิสระที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนคืออุปสรรคของการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

เราเริ่มเข้าใจว่า มันน่าจะดีมากหากอำนาจรัฐส่วนกลางลดลง และท้องถิ่นสามารถบริหารพื้นที่ของตัวเองอย่างอิสระ ในทุกมิติ ทั้งการขนส่งมวลชน คมนาคม การศึกษา เศรษฐกิจ

ดังเราจะได้เห็นการร่วมทุน ระดมทุนระหว่างเอกชนกับท้องถิ่นในหลายจังหวัดที่ริเริ่มโครงการขนส่งมวลชนในจังหวัดของตนเอง

และเราก็เห็นว่า บางเทศบาลที่เข้มแข็งสามารถจัดการเมืองได้ดีกว่าที่รัฐบาลกลางทำ

มันแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า “ต่างจังหวัด” ภายใต้การบริหารของท้องถิ่นนั้นทันสมัย และมีวิสัยทัศน์ที่เป็นอินเตอร์กว่า “รัฐบาลกลาง” มหาศาล

และเราเริ่มเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า ในจังหวัดของเราในเทศบาลของเรามีคนเก่งๆ มีนักการเมืองท้องถิ่นเจ๋งๆ ที่จะพัฒนาท้องถิ่นให้ล้ำกว่า อินเตอร์กว่ากรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ

ตรงกันข้าม กรุงเทพฯ ต่างหากที่มีผู้ว่าฯ มาจากการเลือกตั้ง ทว่า มีอำนาจเพียงน้อยนิด และแทบจะริเริ่มนโยบายอะไรที่เป็นของตนเองไม่ได้เลยเพราะหน้าที่หลักๆ ของผู้ว่าฯ กทม. คือบริหารราชการตามที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย

ข้อเรียกร้องของชาวกรุงเทพฯ ต่อไปคือ ไม่ควรพอใจแค่การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่มีอำนาจน้อยนิด แต่ควรเรียกร้องให้ กทม.เป็น “หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่น” ในรูปแบบเทศบาลมหานคร บริหารงานโดยนายกเทศมนตรี ที่มีอำนาจในการบริหารภาษีของ กทม.

และทั้งหมดนี้ต้องวาง “แผนที่” ของเทศบาลมหานครนี้กันใหม่ เพราะอาจต้องรวมนนทบุรี ธนบุรี สมุทรปราการ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเทศบาลมหานครนี้ด้วย

ถ้าไม่เปลี่ยนรูปแบบของ กทม.ให้เป็นเทศบาลมหานคร และเป็นอิสระจากรัฐบาลกลาง การเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ในระดับโครงสร้างก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ และเราก็จะวัดความสามารถของผู้ว่าฯ กันแค่ใครเป็น “คนสวน” ที่เก่งที่สุด อย่าว่าแต่จะขยับไปจัดการเรื่องที่ใหญ่กว่านี้คือ ขยะ น้ำท่วม ขนส่งมวลชน

นโยบาย ส.ก.ของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ 50 โรงพยาบาลชุมชน 347 ศูนย์การเรียนรู้ กองทุนสองแสนบาทเพื่อการพัฒนา ฯลฯ จะแจ่มชัดกว่านี้มาก หากกรุงเทพฯ เป็นเทศบาลที่มีอำนาจ “รัฐท้องถิ่น” เป็นของตัวเอง

น่าเสียใจที่กรุงเทพฯ ถูกหลอกด้วยคำว่า “เมืองหลวง” แต่เป็นเมืองหลวงที่เป็นแค่เมืองบริวารของรัฐส่วนกลาง บริหารงานโดย “ข้าราชการ” ที่ทำให้กรุงเทพฯ เป็นกรุงเทพฯ ที่อัปลักษณ์และราคาแพงอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เป็นเมืองหลวงแค่มีสนามบินกับศูนย์ราชการเท่านั้น ที่เหลือก็ไม่ต่างจากสลัมขนาดมหึมา

ขอบคุณประยุทธ์ที่ทำให้คนไทย สังคมไทยเริ่มตาสว่าง