จัตวา กลิ่นสุนทร : คิดถึง ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช (19)

หลังจากที่ได้พบพูดคุยเพียงแค่ตอบคำถามเป็นครั้งแรก เรียกว่ารู้จักกับ (อดีต) นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ท่านประธานองคมนตรี (ป๋า) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในต่างแดน แผ่นดินประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี พ.ศ.2523 เมื่อกลับเมืองไทยก็ไม่ได้พบกับท่านอีกเลย

การได้พบท่านโดยบังเอิญอย่างไม่เป็นทางการ แม้ท่านจะเอ่ยกล่าวลาก็คิดว่าคงจะจำไม่ได้ เนื่องจากเป็นเวลานาน อีกทั้งไม่ได้มีการต่อยอด หรือมีกิจการอะไรต้องเข้าไปข้องเกี่ยว นอกจากติดตามข่าวการบริหารประเทศในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ของท่าน

ปี พ.ศ.2529 หน้าที่การงานของผู้ติดตามอาจารย์คึกฤทธิ์ครั้งนั้น ได้เปลี่ยนแปลงเติบโตรับผิดชอบมากขึ้น ด้วยได้รับแต่งตั้งเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” ในขณะ (ป๋า) พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีได้ราว 6 ปี เรียกว่าผ่านร้อนผ่านหนาว และเหตุการณ์ต่างๆ มามาก จนต้อง “ปรับคณะรัฐมนตรี” หลายครั้ง

ปี พ.ศ.2524 รัฐบาลป๋าถูกเรียกว่า “เปรม 2” เพราะมีการปรับคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก ภายหลังบริหารประเทศมาได้เพียงแค่ปีเดียว

พรรคกิจสังคม ซึ่งร่วมรัฐบาลครั้งแรก (มีนาคม 2523) และมีจำนวนผู้แทนฯ มากกว่าทุกพรรค โดยรับผิดชอบเรื่อง “เศรษฐกิจ” เกิดขัดแย้งกับพรรคชาติไทย ที่ร่วมรัฐบาลเดียวกันด้วยเรื่องการหาซื้อ “น้ำมัน” ซึ่งหายาก ที่สุดพรรคกิจสังคมจึงถอนตัวออกมา

ขณะเดียวกัน สถานภาพระหว่างอาจารย์คึกฤทธิ์ กับ (ป๋า) พลเอกเปรม ก็เปลี่ยนไปจนแทบจะยืนคนละข้าง จะว่าไปอาจสืบเนื่องมาจากพรรคกิจสังคมถอนตัวจากรัฐบาล ไม่ก็เป็นอันหมดสัญญาการสนับสนุนป๋าอย่างที่อาจารย์คึกฤทธิ์พูดเสมอๆ ว่าท่านเอา “ป๋าเข้าสะเอวไว้” ตอนนี้ถึงเวลา– “โยนทิ้งแล้ว”?

 

ตั้งแต่รัฐบาลเปรม 2 เป็นต้นมา หนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” คอลัมน์ “ซอยสวนพลู” ของอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็ตำหนิติเตียนกระหน่ำวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยเฉพาะท่านหัวหน้ารัฐบาล คือ (ป๋า) พลเอกเปรม ตลอดมา

จำได้ว่าราวปี พ.ศ.2530 นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ คนเดียวกันกับท่าน “มหาเศรษฐี” ซึ่งร่ำรวยติดอันดับ “ท็อปเท็น” ของประเทศไทยอย่างรวดเร็วปัจจุบันนี้ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กิจการโรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (Bangkok Dusit Medical Service) (BDMS) และโรงพยาบาลต่างๆ จำนวนมากทั่วบ้านทั่งเมือง บริษัท การบินกรุงเทพ (Bangkok Airways) จำกัด (มหาชน)

อีกทั้งยังไม่หยุดสอดส่ายสายตาเที่ยวมองหาเพื่อกว้านซื้อกิจการต่างๆ เพื่อขยายขอบเขตธุรกิจ รวมทั้งโทรทัศน์วิทยุ และ ฯลฯ ได้กรุณาให้เกียรติเดินทางมาเยี่ยมเยียนคนยากไร้ถึงสำนักงานหนังสือพิมพ์ริมถนนราชดำเนิน เพื่อปรึกษาพูดคุยรายละเอียดอันไม่ค่อยชอบมาพากลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายชื่อแต่งตั้งโยกย้าย “ผู้บัญชาการทหารอากาศ” (ผบ.ทอ.) ที่เรียกกันว่า “เปลี่ยนโผ” โดยมีข้อมูลมาพูดคุยด้วยพอสมควร

อันที่จริงท่าน (ป๋า) พลเอกเปรม ก็คงจะต้องมีข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ไม่อย่างนั้นการ “เปลี่ยนโผ” จาก พลอากาศเอกเกษตร โรจนนิล ไปเป็น พลอากาศเอกวรนาถ อภิจารี คงจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งต้องเรียกว่าในปีดังกล่าวนั้นสร้างความปั่นป่วนค่อนข้างมากให้กับ “กองทัพอากาศ”

การพลิกผันไม่เป็นไปตามโผครั้งนั้น รวมเข้ากับเหตุการณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง ทำให้ต่อมากองทัพอากาศจึงมี “ผู้บัญชาการทหารอากาศ” เป็นนักเรียนนายเรืออากาศรุ่นเดียวกัน คือ รุ่น 1 เรียงกันมาถึง 3 คน คือ พลอากาศเอกวรนาถ อภิจารี, พลอากาศเอกเกษตร โรจนนิล และ พลอากาศเอกกันต์ พิมานทิพย์

 

ถามว่าทำไม “หมอเสริฐ” ต้องออกเดินสายเมื่อพลอากาศเอกเกษตร (บิ๊กเต้) ถูกเปลี่ยนโผ ตอบได้ตามประสาคนไม่รู้อะไรมากสักเท่าไร? ว่า เขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ และเมื่อ “หมอเสริฐ” ต้องการทำ “ธุรกิจการบิน” ก่อสร้าง “สนามบิน” ทำรีสอร์ตบน “เกาะสมุย” คนที่จะได้เป็นแม่ทัพอากาศแหงๆ ในอนาคต แถมยังมีจิตใจกว้างขวางโอบอ้อมอารี ยิ่งกับเพื่อนด้วยแล้วถึงไหนถึงกัน ทั้งๆ ที่บางทีเพื่อนจะเบี้ยวจะบูดบ้าง ลืมนั่นลืมนี่เหมือนแกล้งลืมไปบ้างก็ไม่ปริปากอะไร?

ใครไม่ติดสอยห้อยตามคบค้าสมาคมพยายามสนิทสนมด้วยก็คงไม่ค่อยฉลาดนัก!

ถ้าพลอากาศเอกเกษตร (บิ๊กเต้) ผิดหวังจากตำแหน่ง “แม่ทัพอากาศ” โครงการอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างของ “หมอเสริฐ” อาจแปรเปลี่ยนขาดการสนับสนุน และไม่ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างทุกวันนี้ก็ได้

พลอากาศเอกเกษตร โรจนนิล (บิ๊กเต้) เป็นนักเรียนนายเรืออากาศรุ่นที่ 1 รุ่นเดียวกับ พลอากาศเอกวรนาถ อภิจารี นั่นเอง ต่อมาได้เกี่ยวดองเป็นญาติไม่ห่างกันด้วย และเป็นทายาทของกองทัพอากาศ เรียกว่าเต็งหามแบบนอนมาสำหรับตำแหน่ง “แม่ทัพอากาศ” เริ่มต้นตั้งแต่เรียนหนังสือเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดม เอ็นทรานซ์ (Entrance) เข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ คือนักเรียนเตรียมแพทย์

แทนที่จะเป็นนายแพทย์เกษตร กลับเปลี่ยนเข็มมาเป็นบิ๊กสีเทาแถวๆ ดอนเมือง เมื่อ “โรงเรียนนายเรืออากาศ” เปิดทำการเรียนการสอนขึ้นเป็นปีแรก ท่านจึงเปลี่ยนใจมาเรียนโรงเรียนทหาร ชีวิตราชการโดดเด่นด้วยความสามารถตลอดมาจนกระทั่งได้รับการวางตัวเป็นทายาทกองทัพอากาศมาจนถึงวันถูกเปลี่ยนโผ

นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (ที่เรียกกันสั้นๆ ว่าหมอเสริฐ) ก่อนจะมามีฐานะร่ำรวยอยู่ 10 อันดับแรกของประเทศไทยทุกวันนี้ หอบเอกสารต่างๆ มาพูดคุยให้หาทางช่วยเหลือพลอากาศเอกเกษตร (บิ๊กเต้) ซึ่งขณะนั้นจะว่าไปก็ยังไม่ค่อยจะสนิทสนมกับท่าน แต่ด้วยความจำอันยอดเยี่ยมจึงจำได้ว่าเคยไปงานสำคัญๆ ยังบ้านพักกองทัพอากาศในซอย 8 ดอนเมืองก่อนถึงโรงเรียนนายเรืออากาศ ซึ่งเป็นบ้านพักของท่านกับครอบครัว

เวลามีงานเลี้ยงต่างๆ มักจะจัดขึ้นที่นั่น ซึ่งจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คนไม่เฉพาะทหารอากาศ ทหารบก ตำรวจ เพราะพวกไม่มีเครื่องแบบก็แห่กันไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง ได้รู้จัก (พี่หมง) พลเอกมงคล อัมพรพิสิฏฐ์ (อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด) ซึ่งดูเหมือนจะยังมียศเป็นแค่พันเอก ก็ที่หน้าบ้านพักทหารอากาศ ดอนเมืองซอย 8 นี่เอง

 

ด้วยความที่เกิดมาเป็นคนบ้านนอกซื่อสัตย์ ซื่อบื้อจนถึงเซ่อโง่ รักเคารพใครแล้วก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นตายอย่างไรเมื่อเป็นพวกเสียแล้ว เสี่ยงแค่ไหนเอาไงเอากัน ถึงได้ลำบากยากจนมากระทั่งทุกวันนี้เพราะ “เพื่อน” ขี้โกงเลวทรามบางคนมันหักหลังคดโกงเอาดื้อๆ–

ตัดสินใจใช้คอลัมน์ซึ่งตัวเองรับผิดชอบอยู่เขียนโจมตี (ป๋า) พลเอกเปรม ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน น่าจะเป็นอาทิตย์ ด้วยความรู้สึกว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ทั้งๆ ที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้

เรื่องนี้อย่างน้อยต้องถึง (ป๋าเปรม) พลเอกเปรม แน่ๆ ซึ่งก็คิดว่าในที่สุดท่านก็คงนึกออกว่า (ไอ้) หนุ่มนักหนังสือพิมพ์ที่ตามอาจารย์คึกฤทธิ์ และพบกับท่านที่สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ 7 ปีก่อนคนนั้นนั่นเอง

แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ระดับนายกรัฐมนตรีอันสุขุมลึกซึ้งซึ่งรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ย่อมไม่มีถ้อยคำอะไรหลุดออกจากปากของท่านเพื่อตำหนิติเตียน หรือชี้แจงตอบโต้

ไม่มีอาการนอกจากความเงียบขรึมในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปดังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ท่านคงจะต้องจำได้

แต่เชื่อไหมว่าเวลาที่เดินทางอย่างสม่ำเสมอจนอีกเฉียด 30 ปีต่อมา นายทหารคนสนิทระดับเสนาธิการของท่านซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องต่างอาชีพเคารพรัก เคยบอกกับท่านว่า “คอลัมนิสต์คนนั้นมันตำหนิป๋าก็เพราะความรักเพื่อน–” ซึ่งก็ต้องกราบเรียนว่า คนที่นายทหารคนสนิทของท่านเรียกว่า “เพื่อน” ความจริงเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด

ทหารอากาศท่านนั้นมียศ “นาวาอากาศเอก” ได้ช่วยเหลือสนับสนุนป๋าในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 1-3 เมษายน พ.ศ.2524 ที่เรียกว่า “เมษาฮาวาย” จาก “ปฏิวัติ” กลายเป็น “กบฏ” ขณะที่กองทัพอากาศไม่ชัดเจนเรื่องการสนับสนุนสักเท่าไร?

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และ พลเอกมงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ทีมงานของป๋ารู้แจ้งเห็นจริง สามารถเป็นพยานได้ ก่อนที่ในอีก 6-7 ปีต่อมากำลังจะก้าวขึ้นเป็น “แม่ทัพอากาศ”

ก็โดน (ป๋าเปรม) “เปลี่ยนโผ” กลางอากาศ?