ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กันยายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ดังได้สดับมา |
ผู้เขียน | วิเวกา นาคร |
เผยแพร่ |
เพราะว่าเป็นแฟนหนังสือ “เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป” จึงไม่เพียงแต่เสริมความเข้าใจต่อมหายานและต่อพระพุทธศาสนาสายจีน
หากแต่ที่สำคัญอย่าง 1 คือ ความรับรู้ทางด้าน “ประวัติศาสตร์”
สุชีพ ปุญญานุภาพ ยืนยัน “ด.ช.เสถียรจำประวัติศาสตร์ไทยได้ดีทุกสมัย เช่น สมัยที่ไทยยังอยู่ในเมืองจีน สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อเล่าประวัติศาสตร์สมัยไหนก็คล้ายตนเองได้เกิดและเห็นเหตุการณ์มาเองในสมัยนั้น
“ข้อนี้ผู้ฟังปาฐกถาในระยะหลังๆ มักจะรู้สึกอัศจรรย์ใจไปตามๆ กันว่าเหตุไฉนจึงจำแม่นยำนัก ความจำประวัติศาสตร์เหล่านี้สืบมาตั้งแต่ยังเป็น ด.ช.เสถียรเป็นส่วนมาก”
นั่นก็สอดรับกับที่ เสถียร โพธินันทะ เขียนคำนำหนังสือ “พระพุทธศาสนาในเอเชียกลาง”
“การเรียนประวัติศาสตร์ทำให้เราเข้าใจถึงสิ่งต่างๆ ในด้านของความเจริญและความเสื่อมในอดีต และเป็นประโยชน์ต่อการที่จะนำมาเทียบเคียงกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ตลอดจนการสร้างและดำเนินกิจการในอนาคต
“ประวัติศาสตร์เป็นดุจหนึ่งกระจกเงาที่จะส่องมองเห็นความเป็นไปตลอดในกาลทั้ง 3 วิชานี้ได้แทรกซึมไปทั่วในวิชาการประเภทต่างๆ ซึ่งบางครั้งเราก็เรียนไปโดยไม่รู้ตัว”
เป็นความไม่รู้ตัวแต่ก็ “รู้” ไปแล้ว
จากมุมมองของ สุชีพ ปุญญานุภาพ ซึ่งรับรู้ตั้งแต่ยังเป็น ด.ช.เสถียร
การจำประวัติศาสตร์ไทยได้ ดูก็ไม่น่าแปลกนักเพราะเป็นเรื่องประจำชาติของตนเองอยู่แล้ว ที่น่าแปลกก็คือ
ด.ช.เสถียรจำประวัติศาสตร์พม่าได้ถี่ถ้วน
ลำดับวงศ์กษัตริย์และเหตุการณ์ได้ถูกต้องตามรายละเอียดที่ปรากฏในตำราทุกอย่าง จำประวัติศาสตร์ญวน ชื่อกษัตริย์และขุนนางญวนตามลำดับเหตุการณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งที่ชื่อญวนนั้นออกเสียงยากมาก
นอกจากนั้น ประวัติศาสตร์จีนและอินเดีย ด.ช.เสถียรก็สนใจจำได้ตั้งแต่ก่อนจะออกจากโรงเรียนมัธยมวัดบพิตรภิมุข และอ่านเพิ่มเติมในภายหลังเพื่อทบทวนความจำ
ในสมัยเป็นเด็กนักเรียนได้ประหยัดเงินค่าขนมที่มารดาให้ ซื้อหนังสือประเภทประวัติศาสตร์และวิชาความรู้ที่ชอบไว้มาก โดยเฉพาะหนังสือทางพระพุทธศาสนา เช่น พระไตรปิฎกแปลฉบับของโรงพิมพ์ไท ได้ซื้อไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียน
หนังสือประวัติศาสตร์พม่า ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงนิพนธ์ไว้ก็มีครบชุด นอกจากนั้นก็ยังมีหนังสือฉบับแปลจากเรื่อง The Thai Race ของหมอดอดจ์ และประวัติศาสตร์พระราชพงศาวดาร ศิลาจารึก
แทบทุกฉบับที่พอจะหาซื้อได้ ถ้าซื้อตามร้านทั่วไปไม่ได้ก็จะติดตามไปซื้อที่หอสมุดแห่งชาติ
จากนี้ก็พอจะมองเห็นภาพของ ด.ช.เสถียร กมลมาลย์ ในเยาว์วัยได้อย่างแจ่มชัดว่ามิได้เป็นเหมือนกับเด็กโดยทั่วไป
ตรงกันข้าม กลับเป็นเด็กประเภท “หนอนตำรา”
เส้นทางการสัญจร หากไม่ใช่จากบ้านไปโรงเรียน ก็จะเป็นจากบ้านไปยังวัดวาอาราม ทั้งที่เป็นวัดไทย วัดจีน และวัดญวน
ยิ่งกว่านั้น การศึกษาก็มิได้อยู่ในชั้นเรียน หากแต่ยังอยู่นอกชั้นเรียน
เพราะฝักใฝ่มาทางหนังสือ มาทางอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และการศาสนา ปรากฏว่า ด.ช.เสถียร “ไม่ชอบวิชาคำนวณทั้งในการเรียนและในการใช้เงิน”
จากการเปิดเผยของ สุชีพ ปุญญานุภาพ
“เวลาซื้อของถ้าจะต้องให้พ่อค้าทอน เขาทอนเท่าไรก็รับเท่านั้น ไม่ตรวจนับดูก่อนเพราะการตรวจนับทำให้เสียเวลาและทำให้ยุ่งยากที่จะต้องคิดว่าที่ถูกควรจะเป็นเท่าไร”
นี่เป็นนิสัยตั้งแต่เด็กกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่
คําถามก็คือ แล้ว ด.ช.เสถียร กมลมาลย์ ได้ทำความรู้จักและปวารณาตนเป็นศิษย์ของท่านสุชีโว ภิกขุ แห่งวัดกันมาตุยารามได้อย่างไร
หรือเป็นเพราะเป็นวัดใกล้บ้าน ตลาดเก่า เยาวราช
หรือเป็นเพราะมีจิตฝักใฝ่ในการพระศาสนา จึงนอกจากจะวนเวียนไปตามวัดจีน วัดญวน ตามความชมชอบแล้วก็ยังชมชอบที่จะเข้าวัดไทย
ตรงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวที่สำคัญในวัยเยาว์ของ เสถียร โพธินันทะ