เผยแพร่ |
---|
ยิ่งสถานการณ์ทางการเมืองมีความแหลมคม ยิ่งเป็นการพิสูจน์ศักยภาพในทางการเมือง
ภายในความแหลมของสถานการณ์มี “ความขัดแย้ง”
สายตาทุกสายตามักจะมองไปยัง”นายกรัฐมนตรี”ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ว่าจะเป็นยุค นายชวน หลีกภัย ไม่ว่าจะเป็นยุค นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นักการเมืองคนใดต้องการยกระดับชื่อเสียงของตนเองก็ต้องเข้าประกบคู่สร้างความขัดแย้งกับบุคคลระดับ”นายกรัฐมนตรี”
เหมือนในกรณีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นต้น
กระนั้น เมื่อมองว่าคนหนึ่งครองยศเป็นเพียง”ร้อยเอก” อีกคนหนึ่งครองยศเป็นถึง”พลเอก”จึงก่อให้เกิดความแคลงคลางกังขา
กังขาไปยัง”อำนาจ”ที่อยู่เหนือ”ร้อยเอก”ว่าเป็นใคร
นั่นก็คือ สังคมไม่เชื่อว่านักการเมืองระดับ”ร้อยเอก”จะสามารถ ต่อกรกับนายกรัฐมนตรีระดับ”พลเอก”ได้
กระนั้น สถานการณ์นับจากเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นมาก็ยิ่งทำให้แสงแห่งสปอตไลต์ฉายจับไปยังบทบาทและการเคลื่อนไหวของ ร. อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อย่างเป็นพิเศษ
ยิ่งหากไปจับบาง”ถ้อยคำ”จาก”รัฐมนตรี”บางคนจากพรรคพลังประชารัฐ ยิ่งทำให้กังขาถึงเส้นสนและกลใน
เพราะเป็นคำถามถึง”บุคคล”ที่อยู่ข้างหลังระดับ”ร้อยเอก”
และเมื่อตามมาด้วยคำถามจากในกลุ่มของ”ร้อยเอก”ในทำนองที่ว่าเป็นคนที่เสนอคนๆนั้นให้เป็น”รัฐมนตรี”หรือไม่ ก็ยิ่งทำให้สีสันมากด้วยความพรรณรายยิ่งขึ้น
เป็นความพรรณรายอันไม่เพียงฉายชี้การเมืองในรัฐบาล หาก
แต่ยังทำให้ภาพของ”ร้อยเอก”โอ่อ่าอลังการชัดเจน
ความแหลมคมของสถานการณ์จึงไม่เพียงแต่จะเป็นหินลองทองอันแหลมคมของแต่ละ”นักการเมือง” หากแต่ยังทำให้”ภาพ”ของนักการเมืองมีความแหลมรายล้อมอยู่”ข้างหลัง”
มองเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของ”ปัจเจก”ก็จริง กระนั้น ภายในแต่ละความเป็นปัจเจกก็มี”องค์ประกอบ”อื่นแวดล้อม
ตรงนี้แหละคือสีสัน ตรงนี้แหละที่เร้าความสนใจใคร่รู้