อาจินต์รำลึก : แปดปีที่แก่งเสี้ยน (12)/บทความพิเศษ แน่งน้อย ปัญจพรรค์

บทความพิเศษ

แน่งน้อย ปัญจพรรค์

 

อาจินต์รำลึก

: แปดปีที่แก่งเสี้ยน (12)

 

จิระ-จักร

กันยายน-ธันวาคม 2556

15 กันยายน 2556 เรานั่งจิบกาแฟแกล้มภูเขาสี่ยอดอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านตามปกติ วันนี้นายจักรจะกลับมาจากบ้านที่ชุมพร คราวนี้เขาจะมาอยู่กับเรา

ก่อนนี้ เขาทำงานกับฉลอง ฉลองมีโครงการทำงานหล่อโลหะและงานไม้ ทำพวกเครื่องใช้เล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นไม้ ฉลองพาเด็กใต้ที่เป็นเครือญาติบ้างไม่ใช่ญาติบ้างสองสามคนมาช่วยงานอยู่ที่นี่ และเขาก็สั่งคนใดคนหนึ่งหรือบางทีก็หลายคนขึ้นมาช่วยงานและดูแลเราบนบ้านนี้ ส่วนมากก็เป็นจักรที่ขึ้นมา เราก็มีห้องนอนห้องหนึ่งข้างโรงรถชั้นล่างไว้ให้เขาอยู่กับเรา

แต่ระยะหลังๆ หลายเดือนมาแล้วที่กิจการงานของฉลองค่อยๆ ลดลง จนกระทั่งปิดตัวไปแล้ว เด็กๆ ก็กลับบ้านไปหมด

จักรด้วย จักรกลับชุมพรไปหลายเดือน เราดูจักรช่วยงานเรามาหลายอย่าง และฉันก็รู้สึกเสียดายที่เด็กซึ่งจบมัธยมปลายมาแล้วไม่ได้เรียนต่อ ดูก็เป็นเด็กฉลาด ไหวพริบดี ถ้าได้เรียนดีๆ น่าจะมีอนาคต

ฉันก็ปรึกษากับฉลอง แล้วก็เคยพูดกับจักรมาบ้างแล้วว่า ถ้ากลับมาอยู่ที่นี่ก็อยากให้เรียนต่อ ดูแลต้นไม้และงานเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาก็ทำได้อยู่แล้ว เป็นเพื่อนพวกเราได้ เราก็มีกันแค่ลุง ฉัน กบ มีเด็กผู้ชายแข็งแรงสักคนหนึ่งก็น่าจะอุ่นใจดี แล้วเขาก็เอาเวลาไปเรียนหลักสูตรพิเศษของมหาวิทยาลัยราชภัฏเสาร์-อาทิตย์ได้ มหาวิทยาลัยก็อยู่ไม่ไกล

ดเรื่องนายจักรแล้วฉันก็คิดถึงเด็กอีกคนหนึ่ง

ที่กรุงเทพฯ เรามีตึกสามชั้นหลังหนึ่งซึ่งเคยใช้เป็นสำนักงานหนังสือ “ฟ้า” รายเดือน พอเลิกฟ้าแล้ว ก็ใช้เก็บหนังสือหลายกองอยู่เฉยๆ ตอนนั้นมีนักเขียนหนุ่มที่เคยช่วยงานฟ้าอยู่คนหนึ่ง เขาอยู่ที่ตึกนั้นตามลำพังต่อมานานหลังจากเลิกฟ้าแล้ว

เด็กหนุ่มนักเขียนไฟแรง เขียนเรื่องสั้นได้ มีแววดีมาก อยากจะเป็นนักเขียนอย่างเดียว อยู่คนเดียวในตึกทั้งหลัง บ้านช่องมันก็รกรุงรัง เราก็ให้แม่บ้านของเราไปช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดบ้าง ทำกับข้าวไปให้กินบ้าง แม่บ้านก็เอาอะไรกลับมาเล่าให้ฟังโดยไม่ขาด ทำนองว่า… พี่ๆ จิระซื้อกับข้าวมาถุงหนึ่ง ซื้อข้าวมา 3 ก้อน กินสามมื้อ…และอะไรต่างๆ จิระนุ่งกางเกงตัวเดียว ไม่มีตัวอื่น…ฯลฯ

ฉันก็เลยให้แม่บ้านเอาข้าวของไปให้กินให้ใช้บ่อยๆ ของกินไม่มีปัญหา แต่ของใช้เขาส่งคืนมาบ้าง…อย่าเอาของดีๆ มาให้ผม

เหตุการณ์เป็นอย่างนั้นมาเรื่อยๆ วันหนึ่งอาจินต์คงเห็นอะไรบางอย่าง เลยบอกฉันว่า

“เธออย่าไปทำตัวเป็นแม่เขา เขาอุตส่าห์หนีแม่มาอยู่ที่ตึกร้างของเธอแล้ว เดี๋ยวเขาก็ต้องหนีไปอีกหรอก”

ดูเหมือนว่าความฝันของเด็กหนุ่มที่อยากเป็นนักเขียนอย่างเดียวนั้น มันไม่สำเร็จง่าย บางคนหัวแข็งเสียด้วย วันหนึ่งเขาก็ไป ฝากข้อความไว้กับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้สื่อถึงเราว่า…เรารักพี่น้อยเหมือนแม่คนหนึ่ง เขาให้เราทุกอย่าง แต่เราต้องไปแล้ว…

บางทีฉันอาจยุ่งกับเขาเกินไปก็ได้ พยายามชักจูง เกลี้ยกล่อมให้ทำนั่นทำนี่หลายอย่าง ไม่ได้ผล อาจินต์ก็พูดว่า

“เธอก็คิดว่ามันเป็นเด็กสิ เด็กที่ตัวมันโตสูงใหญ่ขึ้นมาเฉยๆ น่ะ”

และแล้ว จิระก็กลับไปอยู่บ้านที่ภาคใต้ แล้วก็กลับขึ้นมาอีก คราวนี้ เขามากระโดดน้ำตาย! มีคนบอกภายหลังว่าฉันร้องอุทานเหมือนคนบ้า บรรยายความรู้สึกตอนนี้ไม่ถูก

พอมาถึงนายจักร ทำให้ฉันนึกถึงจิระ หวังว่าจะไม่เหมือนกัน ฉันบอกกับอาจินต์ว่า

“พี่ๆ นายจักรนี่มีอะไรสักอย่างเหมือนจิระนะ พี่ว่าไหม”

“ไม่รู้ เธออยากจะส่งเสีย เธอก็ให้ไปเรียนเกษตรสิ”

“ทำไมต้องเกษตร”

“ก็จิระมันเรียนเกษตรไม่ใช่หรือ”

แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก จักรต้องไปสอบเอ็นทรานซ์แข่งกับเด็กจบ ม.6 ทั้งประเทศ อายุก็น่าจะเกินแล้ว

และแล้วนายจักรก็ตกลงจะกลับมาเรียน เขาจะขึ้นมา 15 กันยายนนี้

เรานั่งจิบกาแฟรอนายจักรจนหมดถ้วยไปนานแล้ว เสียงมอเตอร์ไซค์คุ้นหูก็แว่วมาแต่ไกล

เวลาเดินทางไป-กลับบ้าน เขาจะส่งรถมอเตอร์ไซค์ไปก่อน แล้วขึ้นรถไฟตามไป ขากลับก็เช่นกัน พอลงรถไฟก็แวะไปรับมอเตอร์ไซค์ที่ไปรษณีย์ แล้วก็ขี่ขึ้นมา

พอเสียงรถดังขึ้นๆ หัวนายจักรก็ค่อยๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นมาหลังแนวต้นไม้ข้างทางขึ้นบ้าน เดี๋ยวเดียวก็จอดรถที่ใต้ถุน เดินขึ้นบันไดขึ้นมายกมือไหว้

แล้วก็นั่งคุยกัน ถามไถ่ถึงพ่อแม่และงานปลูกกาแฟที่กลับไปทำให้แม่ เหมือนกับนั่งคุยกันตามธรรมดาอย่างเคย เหมือนไม่ได้หายไปไหนมาตั้งหลายเดือนอย่างนี้เลย

จักรกลับมาก็เริ่มต้นตัดหญ้า เดือนนี้หญ้าสูงเกือบท่วมหัว ต่อมาไม่กี่วันก็เก็บหน่อไม้

จักรกับตาก้านช่วยกันเก็บ ตัด ปอก ต้มหน่อไม้ที่เพิ่งได้เก็บเป็นปีแรก ตาก้านกับจักรเป็นเหมือนคู่หูต่างวัยที่เราเห็นชินตาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ครั้งแรกฉันได้ยินจักรเรียกตาๆ ฉันนึกว่าเขาเป็นตาหลานกันจริงๆ เสียอีก วัยมันเป็นเช่นนั้นได้ แต่ต่อมาๆ ฉันได้ยินแต่คำสั่ง ตาเอานั่นมา ทำนี่นะ โน่นอยู่ตรงโน้น ฯลฯ ฉันจึงรู้ว่าเขาเป็นคู่หูต่างวัย

จนถึงขณะนี้ นับสิบปีแล้ว เวลาจักรจะทำอะไรที่ต้องมีคนช่วย ก็จะตามตาก้านมาช่วยเป็นทีๆ

บ่ายวันหนึ่งเดือนตุลาคม 2556 ฉันเดินขึ้นบ้านมาเห็นนายจักรนั่งที่พื้นข้างเก้าอี้หวายที่อาจินต์นั่งอยู่ อาจินต์พูดว่า

“จะบอกอะไรให้ นายต้องเรียนนะ การเรียนไม่ได้จะทำให้ฉลาด แต่จะให้ความคิด”

เมื่อแรกรู้จักกันที่นี่ อาจินต์พูดกับฉันว่า…เด็กคนนี้พูดจารู้เรื่องที่สุด

มหาวิทยาลัยราชภัฏเปิดเทอมเดือนสิงหาคมของทุกปี ต้องสมัครลงทะเบียนล่วงหน้า 2-3 เดือน ปีการศึกษานี้ช้าไปแล้ว

ระหว่างนี้ก็มีอะไรต้องทำเล็กๆ น้อยๆ อยู่มากเหมือนกัน

เดือนพฤศจิกายน 2556 ตัวบ้านของเราปลูกอยู่ชิดแนวเขตด้านใต้ ด้านเหนือเป็นที่ว่างที่ยังปลูกต้นไม้ไม่ได้มาก ยังรกร้างอยู่ มีศาลาไม้ไผ่เล็กๆ แบบสำเร็จรูป ซึ่งเจ้าของที่ดินเก่าเขาเอามาตั้งไว้นั่งเล่น ทางเดินจากตัวบ้านมาศาลาที่อยู่ทิศตรงข้ามนี้มันรก และฉันก็ชอบมานั่งที่ศาลามองภูเขาเล่นเสมอ วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ฉันมองๆ ทั้งศาลา ภูเขา และทางเท้าที่เราแหวกมาแล้ว ก็ชวนจักรลงมา

“จะทำอะไรครับ”

“ทำสิ่งที่เธอจะคาดไม่ถึง”

“ธรรมดาก็คาดไม่ถึงอยู่แล้ว”

แล้วฉันก็ชี้หินแดงก้อนใหญ่ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่แถวนั้น ชี้ดินลาดเอียงข้างทางเท้าที่เราเดินแหวกหญ้าไปมา แล้วก็เดินไปยกอิฐสี่เหลี่ยมกว้างยาว 40 เซนติเมตร ที่กองสูงอยู่ไม่ไกลมาทีละก้อน นายจักรเข้าใจทันที

“รู้แล้วครับ”

เขาปรับดินลาดๆ ให้เป็นพื้นเรียบตลอดแนวที่เคยเดิน ใช้หินแดงอัดด้านข้างไม่ให้ดินตก เอาอิฐสี่เหลี่ยมวางฝังลงในดินสักครึ่งของความหนา กันลื่นไถล ภายในไม่ถึงสองชั่วโมง ทางเดินเท้า 25 ก้าวของเราก็เรียบร้อย

ตลอดเวลาเหล่านี้ อาจินต์ซึ่งเดินกายภาพตัวเองเสร็จแล้วนั่งพักที่ม้านั่งริมทางมองดูเราอยู่เฉยๆ ทางเท้าเสร็จชวนว่าจะลองเดินไหม ไม่

ต่อมาอีกหลายวัน เมื่อเดินสุดทางเดินประจำแล้วก็หยุดมองอิฐที่วางเป็นทางเท้าที่ทำใหม่ แล้วอาจินต์ก็สงสัย

“ใครเอาอิฐอะไรมาวางไว้ทำไม”

“อ้าว ทางเดินเท้าไปศาลาไง พี่ไม่เคยเห็นหรือ” วันก่อนชวนเดินแล้วไม่เดิน

“ไม่”

“เดินไหม”

วันนี้เดิน

จูงอาจินต์เดินสุดทางอิฐ 25 ก้อน หยุดยืนรอ แล้วพาเดินไปนั่งเล่นที่ศาลา นั่งอยู่นานไม่ยอมขึ้นบ้าน จนจะเที่ยงจึงขึ้น

 

ธันวาคม 2556 จวนจะสิ้นปีแล้ว งานปีนี้ยังมีก็คือต้องเผาหญ้า ทำทางไฟบนเขา

ลุงสองคนมาช่วยตัดตอกระถินเชิงเขา จักรตัดหญ้า เผา นกบินพรึ่บหนีไฟ ทั้งแซงแซว นางแอ่น ฉันหวาดเสียว

“เราเผานกรึเปล่า”

“ไม่หรอกครับ พอควันขึ้นนกก็หนีแล้ว หน้าหนาวนางแอ่นจะหนีหนาวที่อื่นมาแถวนี้ หมดหนาวก็ไป”

นกแซงแซวฉันก็เพิ่งเคยเห็นที่นี่ แซงแซวตัวใหญ่ทำรังเล็กนิดเดียว ใช้กกไข่เฉยๆ เป็นแซงแซวหางปลา ไม่มีหางบ่วง

ปลายปีนี้หนาว หนาวมาก