ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 มกราคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เขย่าสนาม |
เผยแพร่ |
เขย่าสนาม
เด็กเก็บบอล
ลูปนรกของ ‘บีจีปทุม’
กับการติดกระดุมผิดซ้ำซาก!
คําว่าติดกระดุมผิดเม็ดเดียว ต้องแก้ใหม่ทั้งหมด มันคงเอามาใช้กับสถานการณ์แถวรังสิตคลอง 3 ได้เป็นอย่างดีในเวลานี้
ทั้งๆ ที่พวกเขาคือทีมแชมป์เก่า แต่ทว่าตอนนี้แซงหน้าทุกทีมด้วยการเปลี่ยนกุนซือเป็นคำรบที่ 3 ของฤดูกาลเข้าไปแล้ว
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ “เดอะ แรบบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด กันแน่นะ?
ย้อนกลับไปไม่ถึงปี ทีมบีจี ปทุม เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ท็อปฟอร์มถึงขีดสุด คว้าแชมป์ไทยลีกสมัยแรกของตัวเองด้วยผลงานยอดเยี่ยมตลอดทั้งฤดูกาล แพ้เพียงนัดเดียวให้กับ “กิเลนผยอง” เมืองทอง ยูไนเต็ด เท่านั้น
ซึ่งตอนนั้นบีจีทีมนี้ก็คุมโดย “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ซึ่งได้รับเครดิตอย่างมาก ตั้งแต่สามารถพาทีมเลื่อนชั้นภายในปีเดียว และยังเป็นการคว้าแชมป์ 2 ปีติด
ทว่าภายหลังจากการคว้าแชมป์ ทีมกลับเลือกที่จะส่งโค้ชโอ่งไปคุมราชประชา เอฟซี ทีมพี่ทีมน้องในไทยลีก 2 พร้อมกับดึงกุนซือเก่าอย่าง ออเรลิโอ วิดมาร์ ชาวออสเตรเลีย ที่เคยคุมทีมมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2016-2017 เข้ามาคุมทีม เพราะต้องการกุนซือที่มีประสบการณ์ เพื่อการทำผลงานในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ที่คว้าโควต้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มได้
ถ้าจะเรียกว่านั่นคือการติดกระดุมผิดเม็ดแรก ก็คงไม่ผิดนัก
เพราะสัจธรรมข้อหนึ่งที่มักใช้งานได้เสมอก็คือ “อะไรที่มันดีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรจะไปเปลี่ยนมัน” เช่นเดียวกับการทำงานของโค้ชโอ่ง ที่ยังไม่ได้มีข้อผิดพลาดอะไร แล้วทำไมถึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง
การใช้ข้ออ้างว่าต้องการกุนซือระดับโปรไลเซนส์เพื่อเล่นในถ้วยเอเชีย บอกตรงๆ ว่าฟังไม่ขึ้น เพราะลูกไม้ที่ทีมไทยใช้กันมาอย่างต่อเนื่อง คือการส่งชื่อโค้ชที่เป็นโปรไลเซนส์ในทีมเป็นเฮดโค้ชแทน และในทีมบีจีเองก็มี “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ที่ได้ชื่อว่าโปรไลเซนส์คนแรกของประเทศไทยอยู่ทั้งคน
จะดีจะร้าย โค้ชโอ่งก็คือคนที่สร้างทีมชุดนี้ขึ้นมา พาทีมเป็นแชมป์ ก็ควรจะต้องได้ทำหน้าที่ต่อ อีกทั้งในถ้วยเอเชีย บีจีได้เปรียบสุดๆ เพราะเป็นเจ้าภาพ ได้เล่นในถิ่นตัวเอง ถ้าผลงานออกมาไม่ดีจะปลดโค้ชโอ่งก่อนฤดูกาลใหม่เปิดก็ยังไม่สาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเลือกจะเดินทางนี้ มันก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป และคนที่เข้ามาแทนอย่างวิดมาร์เองก็ถือว่ามีดีกรีไม่ธรรมดา ทว่ากลับได้ทำงานไม่ถึง 6 เดือนด้วยซ้ำ
ทั้งที่ดูผลงานวิดมาร์ไม่ได้ขี้เหร่ พาทีมผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายถ้วยเอเชียตามเป้า ในลีกผ่าน 12 นัด ชนะ 8 เสมอ 2 แพ้ 2 มี 26 แต้ม ณ เวลานั้นตามหลัง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด จ่าฝูงเพียงแค่ 3 คะแนน แถมด้วยผลงาน 8 นัดหลังสุดไม่แพ้ใคร
แล้วจุดหนึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับวิดมาร์ด้วย ก็คือปัญหาที่เขาเจอ ซึ่งโค้ชโอ่งไม่เคยเจอเลยตลอดการคุมทีมในช่วงที่ผ่านมา ก็คือเรื่องของอาการบาดเจ็บ เพราะวิดมาร์ต้องพาทีมผ่านช่วงยากลำบาก ไม่มีทั้ง วิกเตอร์ คาร์โดโซ่ กับ อันเดรียส ตูเญซ สองกองหลังต่างชาติ รวมถึง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ดาวยิงประจำทีม แต่ยังทำทีมมาอยู่ในจุดนี้ได้ ก็นับว่าต้องให้เครดิตพอสมควร
เรื่องนี้ ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสร ให้เหตุผลถึงการปลดวิดมาร์ว่า แนวทางการทำทีมไม่ตอบโจทย์ อยากให้ยกระดับทีมให้ดีกว่าเดิมจากการคว้าแชมป์ ทว่าที่ผ่านมาไม่มีเกมไหนน่าประทับใจเลย
นับเป็นการติดกระดุมผิดเม็ดที่ 2 แล้วสำหรับบีจี แถมคราวนี้ยิ่งถลำลึกลงไปในหลุมทรายที่ตัวเองขุดเองอีกด้วย
โค้ชโอ่งที่กำลังบอบช้ำหลังทำทีม “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ไม่ประสบความสำเร็จจนต้องยื่นใบลาออก กลับมาบีจีผลงานก็ยังไม่ดีอีก ไม่ชนะใครเลยในลีก 5 เกมติดต่อกัน
ทั้งเปิดหัวด้วยการพ่ายหนองบัว พิชญ เอฟซี 1-3 พ่ายทีมเก่าอย่างการท่าเรือ 0-1 และก็มาเสมอ 3 เกมรวดกับพีที ประจวบ เอฟซี 0-0, ราชบุรี มิตรผล เอฟซี 1-1 และล่าสุดกับเมืองทอง ยูไนเต็ด 2-2 จนสุดท้ายโค้ชโอ่งก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในที่สุด
แล้วบีจีก็วนลูปด้วยการกลับไปตั้ง “โค้ชง้วน” ขึ้นมานั่งขัดตาทัพไปจนจบฤดูกาล ภาพจำมันย้อนกลับมาคล้ายเมื่อตอนปี 2017 ที่ปลดวิดมาร์ไป แล้วก็ให้โค้ชง้วนนี่แหละขึ้นมารับหน้าที่ต่อ
นับเป็นการขึ้นมารับหน้าที่เฮดโค้ชให้บีจีเป็นครั้งที่ 4 ของบีจีแล้ว หลังจากเคยคุมครั้งแรกตอนปี 2009-2010 คว้าแชมป์ควีนส์คัพ ในปี 2010 จากนั้นก็กลับมาคุมอีกครั้งตอนปี 2012 ได้ฤดูกาลเดียว ก็หลีกทางให้ฟิล สตับบินส์ ชาวอังกฤษมารับหน้าที่
ก่อนที่ครั้งล่าสุดคือตอนปี 2017 ที่เข้ามาทำหน้าที่ได้ราวๆ 5 เดือนเท่านั้น แล้วก็กลับไปนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการมาจนปัจจุบัน
ยังบอกไม่ได้ว่าการติดกระดุมครั้งนี้จะเป็นการติดผิดครั้งที่สาม หรือจะเป็นการแก้ผ้าแล้วติดกระดุมใหม่ทั้งหมดหรือไม่ เพียงแต่สุดท้ายเรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะมาเกิดกับทีมที่เพิ่งประสบความสำเร็จอย่างบีจี ปทุมเลยจริงๆ
และตัวบีจีเองก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้มา ทีมอยู่ระดับหัวแถวมีลุ้นแชมป์ทุกปี แต่เพราะผู้บริหารเปลี่ยนแปลงไปมา สุดท้ายทีมตกต่ำขีดสุดต้องลงไปตั้งหลักในลีกรอง
ก็คงต้องลุ้นให้ผู้บริหารได้สติไวๆ แล้วลองค่อยๆ ตั้งใจติดกระดุมใหม่อีกครั้ง เพราะถ้ายังติดผิดไปเรื่อยๆ แบบนี้
มันจะพังกันไปหมด