72 ปี ‘สุเทพ ประยูรพิทักษ์’ กับมุมสีทองผ่องอำไพ/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง

 

72 ปี ‘สุเทพ ประยูรพิทักษ์’

กับมุมสีทองผ่องอำไพ

 

ช่วงโรคโควิด-19 ระบาดทั่วโลกมา 2 ปีกว่า ผู้คนในวงการบันเทิงต่างได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน มากบ้างน้อยบ้าง

แต่สำหรับ “สุเทพ ประยูรพิทักษ์” หรือ “พี่อี๊ด” ของน้องๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก เพราะใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในไร่ที่กว้างขวางประมาณ 30 กว่าไร่ (รีสอร์ตของน้องชาย) แถวกลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

ที่สำคัญทำให้มีเวลาในการทำงานจิตอาสามากขึ้น ซึ่งทำมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว

ส่วนจะเป็นงานอะไรต้องฟังจากปากเจ้าตัวดีกว่า

ปัจจุบันแม้นักร้อง-นักแสดงผู้นี้อายุขึ้นเลข 7 มา 2 ปีแล้ว แต่ถ้าดูหน้าตาและหุ่น หลายคนอาจทำนายทายทักว่าน่าจะแค่ 60 กว่าเท่านั้น เพราะยังดูกระฉับกระเฉง ร่างกายดูดี ไม่เหมือนผู้สูงอายุทั่วไป

ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ สุเทพได้รับเชิญจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ไปร่วมเสวนาหัวข้อ “ผู้สูงวัยใช้สื่อออนไลน์อย่างไรให้เวิร์ก” ในโครงการ “สูงวัยหัวใจยังเวิร์ก”

ด้วยสุเทพใช้สื่อโชเซียลดูความบันเทิงและธรรมะเพื่อการผ่อนคลาย

“ยุคนี้ยุคดิจิตอลมีผลต่ออาชีพ สมัยก่อนอยากฟังเพลงต้องไปฟัง ณ สถานที่นั้น แต่ตอนนี้ฟังเพลงผ่านติ๊กต็อก ผ่านยูทูบ กับโซเชียล ทีแรกผมดูก่อน แล้วค่อยพิจารณา สิ่งที่คนอื่นทำแล้วมีผลเสียอย่างไร จากพิจารณาด้วยการเข้าไปส่อง แล้วค่อยขยับมาลองทำดูบ้าง กับสื่อโซเชียลผมสามารถหาความรู้ได้เยอะ ได้ลองสิ่งใหม่ๆ เช่น ในวัย 72 ปี ผมก็ฟังเสียงสวดมนต์ในยูทูบจนหลับ อันนี้คือความสงบของเรา ผู้ใหญ่บางคนนอนไม่หลับผมก็แนะนำ ผมอายุเท่านี้แล้ว ต้องดูว่าตัวเองทำได้แค่ไหน และรู้จักใช้สื่ออย่างไรให้ได้ผล ต้องดูเรื่องวัยด้วย เลือกคอนเทนน์ที่เราชอบ เช่น เรียนภาษาอังกฤษ จีน เราก็เลือกได้”

สำหรับพิษภัยจากสื่อออนไลน์ ผู้สูงวัยวุ้นในตาแห้งหากดูมากๆ ต้องระวังสุขภาพด้วย จิตอย่าหมกมุ่น ใช้สื่อให้เป็นและใช้ให้เกิดประโยชน์ ใช้สื่อออนไลน์ต้องรู้เท่าทัน ต้องพิจารณาอะไรคืออะไร ต้องคิดอย่างมีสติ อย่าโดนหลอก

ข่าวต้องฟังแล้ววางตัวเองอยู่ตรงกลาง เพื่อสังคมจะได้อยู่กันได้ อย่าขึ้นสูงและไม่ยอมลงเพราะคิดว่าเก่ง ตรงนี้เสีย

ใครพูดเพราะคนจะเชื่อฟัง อันนี้อันตราย แสงสวยเพลงเพราะต้องพิจารณาเยอะๆ และใช้สื่ออย่างถูกทาง

วันนี้คุณสุเทพมีความสุขกับการเป็นคุณตา-และคุณปู่ของหลาน 3 คนจากลูกสาวคนโตและลูกชายคนเล็ก ซึ่งในช่วงที่สนทนากันนั้น ทำให้ได้รู้ว่าวันเวลาที่ผ่านไป เขาตกผลึกในชีวิต และพร้อมรับกับสิ่งที่จะเกิดในภายภาคหน้าอย่างเข้าใจโลก-เข้าใจชีวิต

คุณสุเทพบอกสาเหตุที่เลือกไปอยู่ที่ปากช่องกับภรรยาว่า “ไม่ค่อยได้ยุ่งอะไรกับใครหรอก ก็อยู่ตามประสา ที่นั่นมันสงบ คือ ชีวิตเราอยู่ในสังคมนี้ก็จริง แต่ว่าบางทีเราก็ชอบความสงบ ไม่อยากจะไปอะไรกับใคร เพราะโลกสมัยใหม่นี่ยิ่งพูดจาอะไรกันก็ยิ่งลำยากนะ โลกโซเชียลทำให้ชีวิตคนเราเปลี่ยนไปเยอะ เลยอยู่นิ่งๆ ดีกว่า อายุเรามากขนาดนี้ เพราะฉะนั้น ลูกสาว ลูกชาย ก็ไม่อยากให้ทำอะไรแล้วตอนนี้ อยากให้อยู่บ้าน มีคนจ้างร้องเพลงบ้าง กับวงเดอะแซกส์ สนุกสนานไป”

เรื่องการรักษาสุขภาพนั้น คุณสุเทพระบุว่า “คนเรานี่มันอยู่ที่จิตใจ ถ้าเราไม่ได้ทำธุรกิจอะไรที่ทำให้ปวดหัวมาก ส่วนใหญ่คนที่แก่แล้ว เป็นโรคโน้นโรคนี้มาก เนื่องจากความเครียด คือ บางคนทำเกินตัวเลยทำให้ความเครียดมีเยอะ ผมเองรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนเล่นดนตรี เพราะมีเพื่อนนักธุรกิจเยอะ ดูมันแก่เหลือเกิน คนนั้นก็เครียด คนนี้ก็เครียด เลยคิดว่าไม่มีอะไรดีกว่าอยู่ไปเรื่อยๆ จะมีความสุขกว่า”

“แล้วมันก็จริงอย่างที่คิดไว้ คือ เราไม่มีธุรกิจ เราก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็อยู่ไปเรื่อยๆ ลูกก็ส่งอาหารการกินมาให้ ตังค์ก็ไม่ต้องใช้ ไม่ได้ใช้เงินมาตั้งแต่โควิดระบาด ลูกบอกอยากจะไปทำอะไรก็ทำ แต่ว่าไม่ต้องใช้ตังค์ก็อยู่ได้ ไม่เห็นเป็นไร”

พูดถึงงานหลักบางคนอาจจะคิดถึงวงการบันเทิงที่เขายังรับเล่นละครอยู่ประปราย แต่พอถามเจ้าตัวกลับบอกว่า งานหลักที่ทำๆ อยู่คือ บูรณะวัด

บูรณะโบสถ์ วิหารเก่า หรือองค์พระที่ทรุดโทรมก็ไปกู้กลับคืนมา ทำมาแล้ว 200-300 วัดทั่วประเทศ โดยไม่ได้ใช้เงินของวัดเลย ทำให้วัดฟรีตลอด

เรื่องเหล่านี้สาธาณชนไม่ได้รับรู้กัน สาเหตุเพราะไม่ได้ประชาสัมพันธ์หรือป่าวประกาศให้สื่อมวลชนรู้ และไม่ได้สนใจตรงนี้

คุณสุเทพให้รายละเอียดงานจิตอาสานี้ว่า มีบางวัดไปทาสีพระเก่าที่ชำรุดอยู่ ก็ไปกู้กลับคืนมา ไปตกแต่งใหม่ ไปลงรักปิดทองใหม่ ให้ชาวบ้านได้กราบไหว้กัน เพราะว่าบางวัดผู้ใหญ่ไม่ดูแล ทำให้วัดไม่มีคนเข้า บางวัดมีอยู่ 2-3 รูป มันก็แย่ เมื่อเราเกิดเป็นคนไทย เราก็ทำไว้ พรรคพวกที่ร่วมกันทำมีไม่ถึง 100 คน แต่ก็ทำกันจนเก่ง ชื่อกลุ่ม “คนร่วมทาง” ทำงานคล้ายพวกจิตอาสา แต่เรียกกันว่า “จิตศรัทธา”

เขาบอกด้วยว่า การได้ทำงานแบบนี้ ส่งผลให้ชีวิตผ่อนคลาย แล้วก็เข้าทางพระเยอะ เลยไม่สนใจว่าใครจะไปยังไง จะมายังไง พวกกิเลสมีทั้งหลาย เราไม่ค่อยแตะ ก็มีพวกอดีตนักฟุตบอลเก่าๆ มาชวนไปเล่นฟุตบอลบ้างเพราะเราเป็นนักฟุตบอลมาก่อน เลยวิ่งเล่นได้

แต่จะไปวิ่งปะทะ ไม่ได้ เล่นแค่สนุกๆ พอให้เหงื่อออก

 

ในฐานะนักร้อง-นักแสดงรุ่นเก่า เขาเล่าถึงช่วงอยู่วงการบันเทิงยุคก่อนว่า เริ่มทำเทปเมื่อปี 2527 จากนั้นก็มาเล่นละครทีวี เล่นหนัง โดยเล่นละครเยอะมากเลย หลายสิบปีเลย พอเล่นมาทีแรกไม่กล้า ไม่นึกว่าจะเป็นนักแสดงหรอก กะว่าร้องเพลง แล้วเดี๋ยวไปหาทำการค้าอะไรดีกว่า แต่มันไม่รู้เป็นไง ติดมายาวเลย จนได้รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ปี 2533 ผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง บุญชู 5

คุณสุเทพย้อนให้ฟังถึงการเข้ามาอยู่ในกลุ่ม “คนร่วมทาง” และเน้นการทำงานแบบ “จิตศรัทธา” ว่า จริงๆ พื้นเพเป็นคนอยู่ใกล้วัด อยู่กับวัดมานาน รู้สึกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เผอิญมีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ จ.สิงห์บุรี เขาชวนไปเล่นฟุตบอล แล้วเล่าให้ฟังว่าเขาทำกันอยู่อย่างนี้ ลองไปทำกันดูไหม พอไปทำก็ชอบ สุดท้ายทำกันยาวมาเลย โดยทำควบคู่กันกับช่วงที่ทำงานในวงการบันเทิง แต่ไม่ค่อยมีคนรู้มาก เพราะไม่ค่อยเปิดเผยเท่าไหร่

กับคำถามที่ว่า นำหลักพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวันมากน้อยแค่ไหน เจ้าตัวตอบว่า สวดมนต์ทุกวัน เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง สวดเยอะมาก เช้าตื่นขึ้นมา ถ้ามีเวลา ไม่ได้ไปไหนก็สวด มีหลายบทด้วยกัน อย่างเช่น บทธรรมจักร บทอะไรที่ง่ายๆ แล้วก็ฟังเพราะๆ สวดไป แม้แต่ “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ” ท่อง 100 ครั้ง 10 ครั้ง ก็ดี

ฟังแล้ว… ไม่น่าเชื่อว่าจะมุ่งมั่นสวดมนต์และเข้าถึงพระธรรมคำสอนมากขนาดนี้ เพราะดูภาพภายนอกเหมือนเป็นคนสนุกสนาน

“ใช่ ผมดูเป็นคนตลกเฮฮา แต่จริงๆ ชอบทางนี้มานานแล้ว เพราะถือว่าเป็นทางสงบ ไม่มีพิษมีภัย ผมสวดมนต์มาตั้งแต่ฝรั่งยังไม่นับถือพุทธ จนเดี๋ยวนี้มานับถือกันเยอะแล้ว ต่อไปศาสนาพุทธจะบรรเจิดมาก”

 

“ในชีวิตผมไม่ค่อยมีปัญหาอะไรกับใคร คือ คนเราจะมองโลกบวก มันจะดี อย่าไปมองลบ อะไรก็ให้เป็นบวกไว้ก่อน ถ้ามันจะลบ ห่างได้ก็ห่าง หรือถ้าจะคบต่อไปได้ก็ไม่มากนัก ต้องพิจารณาตัวเองดีๆ แล้วเราก็จะอยู่กับเขาได้ ผมเจอคนในวงการมาเยอะ ไม่ว่าวงการหนัง ละคร ทำเทป หนีเสือปะจระเข้ หนีจระเข้ปะเสือ เยอะแยะ เต็มไปหมด”

ถามว่า วางแผนชีวิตหรือคิดอยากจะทำอะไรอีกในอนาคต

“ไม่มีวางแผนอะไรเลย จะเอาอะไรอีกล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ชีวิตมาถึงขนาดนี้ ถือว่าเก่งแล้ว ก็อยู่ให้ลูกหลานได้เลี้ยงดู บางทีไปรบกวนเขาอีก เรามาทางเรานี้แหละ เพียงแต่นึกๆ อยู่ในใจ ถ้าตัวเองมีกำลังแข็งแรงก็อย่าให้คนอื่นเขาเดือดร้อน แค่นี้เอง อย่างอื่นไม่ได้คิดอะไร”

ส่วนเรื่องจะบวชเลยหรือไม่นั้น สุเทพบอกว่า “ไม่คิด เพราะอายุเยอะ ไปเป็นภาระวัดเปล่าๆ เรามีบ้านอยู่ มีห้องอยู่ห้องเดียว ก็สามารถปฏิบัติได้ มีคนหลายคนบอกทำไมไม่ไปบวชเลย ถ้าบวชก็ต้องเข้าป่า ต้องไปปฏิบัติ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ เหมือนเราไม่ได้บวช เพราะฉะนั้น ในการบวช ต้องปฏิบัติแท้ อยู่แบบนี้ดีกว่า ทำเท่าที่เราทำได้”

คุณสุเทพพูดถึงเรื่องชื่อเสียงว่า “โลกเปลี่ยนไปขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักร้อง นักแสดง หรือมีชื่อเสียงอะไรเลย คิดว่าเป็นคนธรรมดา ไปไหนคนเขายิ้มแย้มแจ่มใส ทักเราก็แค่นั้นพอ คนยังจำเราได้ แต่ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองเป็นนักร้องดัง กูจะต้องฟอร์ม นู่น นี่ นั่น ทุกวันนี้ทุกคนกลับมานับ 1 ใหม่หมด”

“ถ้ายังไม่รู้สึกตัวกันตอนนี้ ไม่มีเหลือหรอก พวกกิเลสตัณหาเอาไปกินหมด มีเงินก็เอาไปสร้าง ซื้อนี่ ซื้อนั่น แล้วสุดท้าย พอโลภไม่มีใครช่วย ต้องช่วยตัวเอง บ้าน รถ ต้องขาย เละเทะไปหมด ผมมองเห็นภาพนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า ไม่มีอะไรเลยดีกว่า ไปเมื่อไหร่ก็ไป เท่านั้นเอง…จบ”

 

ก่อนจบบทสนทนา สุเทพฝากไปถึงคนรุ่นใหม่ในวงการบันเทิงว่า “ให้เดินทางสายกลาง อย่าขึ้นสูงไป อย่าลงต่ำไป ให้อยู่สายกลาง อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ แล้วชีวิตทุกคนจะมีความสุข ไม่ใช่มีเงินปุ๊บ ไปซื้อรถ 2-3 คัน อย่างที่ผมเคยเป็น ผมก็เคยเป็นแบบนี้นะ ซื้อนู่น ซื้อนี่ ซื้อนั่น สุดท้ายผ่อนเขามั่ง แล้วต้องใช้ ต้องกิน ต้องอะไร สุดท้ายเดือดร้อน บางคนถูกยึด สมัยก่อนผมก็เคย คนเราไม่เคยมี ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่หลงตัวเอง เวลามีแล้วมันต้องหลงตัวเองก่อน เสร็จแล้วถึงจะรู้สึกสำนึก ถ้าสำนึกได้ก็เอากลับคืนมาได้ แต่ถ้าไม่สำนึกจะไปเลย พอไปเลยก็หมดตัว ชีวิตก็ไม่เหลืออะไร”

“เวลาที่เหลืออยู่ ถามว่า เหมือนเตรียมตัวตายใช่ไหม ไม่ใช่เตรียมตัวตาย แต่มันรู้สึกโล่ง ชีวิตมันไม่มีอะไรมาเกาะ ธุรกิจก็ไม่ได้ทำ บ้านช่องก็ยกให้คนนู้นคนนี้ให้ลูกให้หลานไปแล้ว ทุกคนก็ไม่มีห่วง ถ้าเราเป็นอะไรไป เป็นการเดินตามรอยพระพุทธเจ้า”

“อย่าทำอะไรให้ใครเขาเดือดร้อน”