จ๊าก! ปีใหม่ไปยันสงกรานต์/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

จ๊าก! ปีใหม่ไปยันสงกรานต์

 

ถ้าหากคำพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์หรือในเว็บสำนักข่าวต่างๆ มีคำว่า “จ๊าก” ปรากฏอยู่ รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเป็นข่าวประเภทสินค้าราคาพุ่งราคาแพงที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนวงกว้าง จนทำให้ต้องมีคำว่าชาวบ้านร้องจ๊าก อันบ่งบอกอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

ในช่วงส่งท้ายปีเก่า 2564 เข้าสู่ปีใหม่ 2565 ปรากฏมีข่าว “จ๊าก” สะท้อนความทุกข์ร้อนของประชาชนในเรื่องปัญหาปากท้อง นั่นคือ ข่าวร้องจ๊ากเพราะหมูราคาแพง พุ่งพรวดขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 200 บาท หรือเกินไปถึงโลละ 250 บาท

พ่อบ้านแม่บ้านที่ไปจ่ายตลาด เพื่อมาทำอาหารประจำวัน หรืออาจจะเป็นอาหารฉลองปีใหม่ภายในบ้าน

หรือคนที่ออกเดินทางท่องเที่ยว ระหว่างเข้าร้านอาหารต่างๆ ที่ใช้เนื้อหมูเป็นวัตถุดิบ ไปจนถึงอาหารประเภทข้าวหมูแดง หมูย่าง คอหมูย่าง อะไรเหล่านี้

ต้องร้องจ๊ากไปตามๆ กัน เพราะหมูราคาแพงสูงอย่างเป็นประวัติการณ์

มีคำอธิบายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า ปัญหาเกิดจากปริมาณหมูเลี้ยงในประเทศไทยลดน้อยลงไปหลายล้านตัว เมื่อหมูลดลง ทำให้เนื้อหมูที่นำมาชำแหละขายก็ขาดหายไป ขณะที่ในช่วงเทศกาลความต้องการของผู้ซื้อมีสูงขึ้น ย่อมทำให้ราคาเนื้อหมูพุ่งเป็นเงาตามตัว

แล้วปัญหาปริมาณหมูในประเทศลดน้อยไปเกิดจากอะไร เกิดจากเกษตรกรแบกรับภาระไม่ไหว ตัดสินใจเลิกเลี้ยงเป็นจำนวนมาก

ภาระของผู้เลี้ยงเกิดมาตั้งแต่สถานการณ์โควิดระบาด ต่อมาเกิดโรคระบาดในหมู ต้องหาซื้อยาสู้กับโรคระบาดที่ราคาแพง ขณะที่ราคาอาหารสัตว์ก็พุ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกากถั่วเหลือง ข้าวโพด เป็นปัญหาที่ทำให้เกษตรกรรับภาระหนักมาตลอดตั้งแต่ต้นปี 2564 จนเริ่มไปต่อไม่ได้ หลายรายตัดสินใจเลิกเลี้ยงหมู

ไม่เท่านั้น ในช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา มีผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรจำนวนมาก ทั้งนาข้าว ทั้งพืชผักจมน้ำ รวมไปถึงพื้นที่เลี้ยงหมูด้วย

ทั้งโควิด ทั้งโรคระบาดในหมู ทั้งต้นทุนที่พุ่งสูง แถมด้วยปัญหาน้ำท่วมอีก เลยเจ๊งกันระนาว

ขณะเดียวกัน เมื่อผู้เลี้ยงค่อยๆ ลดจำนวนลง ทำให้ปริมาณหมูก็ค่อยๆ หายไป ส่งผลให้ราคาหมูแพงขึ้นมาเรื่อย

วิธีแก้ปัญหาของรัฐบาลก็คือเข้ามาแทรกแซงตลาด ตรึงราคาเอาไว้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค ยิ่งทำให้เกษตรกรแบกภาระหนัก จนต้องเลิกเลี้ยงหมู เพราะรัฐไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือฝ่ายเกษตรกรแต่อย่างใด

สุดท้ายปัญหาราคาหมูจึงมารุนแรงมากขึ้นในช่วงปลายปี 2564 สู่ต้นปี 2565

เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนคนไทย ที่ได้รับของขวัญชิ้นนี้แล้วต้องร้องจ๊ากไปตามๆ กัน!

 

เพียงแค่ปัญหาราคาหมูแพง กระทบปากท้องประชาชนตั้งแต่เริ่มต้นปีใหม่ เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนฝีมือการบริหารงานของรัฐบาลได้มากมายหลายประการ ไม่แค่การแก้ราคาหมูแพงไม่ถูกจุด แก้แล้วทำให้เกษตรกรล้มหายตายจากไป ทำให้จำนวนหมูยิ่งลดลง ราคาก็ยิ่งแพง ทำให้กระทบต่อประชาชนคนไทยทั้งหมด

เมื่อย้อนดูสถานการณ์ที่มีผลต่อปัญหาราคาหมู เชื่อมโยงตั้งแต่การระบาดโควิด ที่ไทยเราแก้ปัญหาล่าช้า เพราะจัดหาวัคซีนมาไม่ทันท่วงที แถมเริ่มต้นก็แทงม้าตัวเดียวอีก

ต่อมาสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ ก็เห็นได้ชัดว่า ผู้นำรัฐบาลแค่เดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัย แต่ไม่ได้ไปเพื่อวางแผนแก้ไขเรื่องน้ำท่วมอะไรเลย ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ปล่อยให้น้ำลดลงไปเอง ซึ่งน้ำท่วมกระทบต่อพื้นที่เลี้ยงหมูด้วย

ดังนั้น เรื่องหมูแพงล่าสุด จึงยิ่งทำให้ย้อนมองถึงความสามารถของรัฐบาลในการบริหารประเทศตลอดมาได้อย่างชัดเจน

หลายเรื่องยังย้อนไปได้ถึงการเข้ามาตั้งแต่ยุครัฐบาลทหารเมื่อปี 2557 ด้วยซ้ำ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา เกิดน้ำท่วมใหญ่หลายหน แต่ไม่เคยเห็นการแก้ไขอย่างเป็นระบบในรัฐบาลชุดนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นยุครัฐบาลทหาร หรือยุครัฐบาลที่มี 250 ส.ว.โหวตเข้ามา

ด้านหนึ่ง อธิบายได้ไม่ยากว่า รัฐบาลที่มีแกนนำมาจากทหาร อยู่ในรั้วกรมกองมาทั้งชีวิต ย่อมเก่งกาจในด้านการสู้รบศึกสงคราม แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการบริหารประเทศ ไม่เคยผ่านการแก้ไขวิกฤตโรคระบาด ไม่เคยเชี่ยวชาญด้านการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ

ด้านต่อมา เพราะภารกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ คือการรักษาอำนาจของเครือข่ายอำนาจนอกระบบประชาธิปไตย เป็นรัฐบาลตัวแทนขุนศึกขุนนาง ที่อยู่มาตั้งแต่รัฐประหาร 2557 จนถึงทุกวันนี้ ก็เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ของเครือข่ายเหล่านี้ให้อยู่ต่อไปยาวนาน ทำทุกทางเพื่อไม่ให้ฝ่ายนักการเมืองเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลได้ ทำทุกทางไม่ให้เครือข่ายทักษิณ ชินวัตร กลับสู่อำนาจได้อีก

นั่นคือภารกิจและเป้าหมายของรัฐบาลชุดนี้

จึงทำให้ไม่สามารถจะมาดูแลบริหารประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนส่วนใหญ่ได้ดีพอ

คำถามก็คือ รัฐบาลนี้อยู่เพื่อรักษาอำนาจฝ่ายหนึ่ง และต่อต้านไม่ให้อีกฝ่ายกลับมามีอำนาจได้อีก

แล้วชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเล่า การพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมารวดเร็วที่สุดเล่า

แค่เรื่องหมูแพงเรื่องเดียวก็คงยากที่จะได้รับการแก้ไขได้รวดเร็ว โดยคาดว่าจะพุ่งหนักอีกรอบในเทศกาลตรุษจีน และยาวไปจนถึงเทศกาลสงกรานต์โน่นเลย

 

นอกจากประชาชนจะต้องร้องจ๊ากรับปีใหม่ ในปัญหาหมูราคาแพงแล้ว บอกได้เลยว่าจะต้องมีอีกหลายจ๊ากจากปัญหาสินค้าต่างๆ ปัญหาปากท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโควิดยังคงระบาดไม่จบ โอกาสการฟื้นเศรษฐกิจก็คงยิ่งยาก

ยกเว้นว่า ถ้าเรามีรัฐบาลที่มีความเชี่ยวชาญ มีวิสัยทัศน์ มีความทันสมัยทันโลก จึงจะมีความหวังในการคลายสถานการณ์โควิด และพลิกโฉมเศรษฐกิจให้กลับคืนมาได้อย่างรวดเร็วได้

แต่วันนี้รัฐบาลชุดนี้ก็ยังยืนยันจะอยู่ต่อไป โดยไม่ยอมรับความจริงว่า ท่านนายพลเอกทั้งหลาย ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยวิกฤตสาธารณสุข วิกฤตเศรษฐกิจเช่นในวันนี้

เพราะเป้าหมายการดำรงอยู่ เป็นเรื่องของการรักษาอำนาจให้กับเครือข่ายขุนศึกขุนนาง

นับตั้งแต่การก่อม็อบเพื่อทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน ปูทางให้รถถังออกมายึดอำนาจเมื่อปี 2557 เป็นรัฐบาลทหาร ต่อด้วยรัฐบาลเลือกตั้ง ที่มี 250 ส.ว. มีอำนาจอยู่เหนือเสียงของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกของประชาชน

แต่เมื่อต้องการอยู่ยาว ก็เริ่มเกิดแรงต้านมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะในปีนี้ จะมีประเด็นเส้นตายวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะต้องตีความว่าครบ 8 ปีหรือยัง

เส้นตายแรกคือ สิงหาคมนี้ จากการตีความว่าเป็นนายกฯ ตั้งแต่สิงหาคม 2557 หลังการรัฐประหาร

ถ้าหากรัฐบาลยังพยายามยื้อ อ้างการตีความอีก 2 แบบ คือ จะครบวาระในปี 2568 ไปจนถึงตีความว่า สามารถเป็นนายกฯ ได้ถึงปี 2570

เนื่องจากเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ยังมี 250 ส.ว.กำหนดนายกฯ เอาไว้ล่วงหน้าเหมือนเดิม

แต่ก็จะเกิดคำถามกระหึ่มไปทั่วว่า แล้วการเป็นรัฐบาลเพื่อรักษาอำนาจของเครือข่ายขุนศึกขุนนางนั้น ไม่คำนึงถึงความเหมาะสมและความสามารถกับการรับมือวิกฤตโควิดและต้องเร่งฟื้นเศรษฐกิจกลับมาให้ได้เลยหรือ!?

แค่เปิดฉากปี 2565 ด้วยเสียงร้องจ๊ากของประชาชนจากหมูแพง

เอาเข้าจริงๆ เสียงต่อต้าน เสียงไม่ยอมรับ และเสียงเรียกร้องต้องการรัฐบาลที่มาแก้ปัญหาให้ประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เพื่ออำนาจของเครือข่ายอำนาจนอกระบบ

จะยิ่งดังอื้ออึงมากขึ้นในปีนี้!