ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 ธันวาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
เผยแพร่ |
ชกคาดเชือก
วงค์ ตาวัน
วิ่งไป-เลี้ยงปัญหาไป
สังคมไทยพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น โดยเกิดกระแสต่อต้านอย่างจริงจัง เมื่อเห็นพฤติกรรมทำความดีแบบผิวเผิน การทำความดีแบบสังคมสงเคราะห์ ดังเช่น การเรียกระดมเงินบริจาคจากประชาชนเพื่อเอามาช่วยแก้ปัญหาแทนรัฐบาล จากกรณีนักร้องชื่อดังประกาศจะวิ่งเพื่อหาทุนการศึกษาช่วยเด็กนักเรียน
โดยเสียงต่อต้านเห็นว่า ปัญหาการศึกษาของเด็กไทยที่ยากจน สะท้อนถึงความล้มเหลวในการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลอย่างชัดแจ้ง เพราะมีการนำเงินงบประมาณแผ่นดินไปใช้ในเรื่องอื่น ใช้ในเรื่องที่ไม่ตรงจุดปัญหาอย่างมากมาย
รวมทั้งมีคำถามย้อนไปถึงการวิ่งการกุศลก่อนหน้านี้ เพื่อจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ ก็คือการแก้ปัญหาแบบสังคมสงเคราะห์ เอาเงินบริจาคจากประชาชนไปช่วยแก้ปัญหาแทนรัฐบาล ซึ่งรัฐต้องเป็นผู้แก้แท้ๆ
จุดสำคัญก็คือ คนรุ่นใหม่ในสังคมไทย ได้ออกมาเคลื่อนไหวในปัญหาของประเทศชาติ โดยเสนอประเด็นเป้าหมายที่ชัดเจนตรงเป้า ต้องแก้ที่โครงสร้างการเมือง ให้มีการเมืองที่เสรีจริง ไม่ใช่มีขุนศึกขุนนางคอยชักใย ให้รัฐบาลมาจากประชาชนจริงๆ เพื่อจัดสรรเงินงบประมาณโดยเน้นหนักที่ปัญหาของชาวบ้าน
ไม่ว่าจะการวิ่งเพื่อทุนการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งเพื่อสาธารณสุข
เห็นได้ชัดว่า จะไม่ต้องมาวิ่งเพื่อหาเงินบริจาคเลย เพียงแค่ผลักดันให้รัฐบาลจัดงบประมาณให้กับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหลัก ไม่ใช่ใช้ไปกับงบซื้ออาวุธมหาศาล
ไม่เท่านั้น ยังกลายเป็นว่า การจัดกิจกรรมในแง่ระดมจิตใจของประชาชนมาร่วมมือกันบริจาคเงินเพื่อการแพทย์ เพื่อการศึกษาเช่นนี้
กลับกลายเป็นการเบี่ยงเบนต้นตอปัญหา
สร้างอารมณ์ความรู้สึกของคนในสังคม ให้เทไปยังการทำความดี ซาบซึ้งน้ำตาไหล
แถมปลาบปลื้มไปกับคนที่เป็นฮีโร่เพื่องานสังคมสงเคราะห์
จนไม่คิดไม่มองปัญหาให้ถึงราก นั่นคือ ทำไมประเทศไทยจึงจัดสรรเงินงบประมาณไปเพื่อความมั่นคง เพื่อจัดซื้ออาวุธ ทั้งที่ไม่มีสงครามการสู้รบอะไรเลย แต่ปัญหาเด็กไม่สามารถเรียนในระบบปกติได้มีอยู่มากมาย ประชาชนไม่สามารถได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีพอ มีให้เห็นกันอยู่เสมอๆ
แต่จัดงบประมาณกี่ปีกี่ชาติ รัฐบาลก็ไม่เคยเอาเงินงบประมาณมาทุ่มแก้ปัญหาที่เห็นๆ เหล่านี้
ขนาด 2 ปีมานี้ สถานการณ์โควิดทำให้ทั้งโลกและประเทศไทยปั่นป่วนอย่างแสนสาหัส
รัฐบาลก็ไม่ได้ทุ่มเทเงินงบประมาณเพื่อการสาธารณสุขอย่างเป็นพิเศษ โดยงบจัดซื้อเรือดำน้ำก็ยังอยู่ จน ส.ส.ฝ่ายค้านต้องต่อต้านกันอย่างขนานใหญ่!
กระแสการทำบุญทำกุศลเพื่อคนในสังคม เหมือนจะเป็นเรื่องที่ดี ทำให้คนดูดีมีน้ำใจได้รับการยกย่องไปทั่ว ภาครัฐก็พยายามสนับสนุนคนแบบนี้ ด้วยการมอบโล่ มอบรางวัล เชิดชูมอบเกียรติบัตรประกาศเกียรติคุณกันยกใหญ่
เพราะคนที่นิยมการสร้างคุณความดีแนวทำบุญทำกุศล มักไม่ใช่คนที่จะลุกขึ้นมาพูดถึงปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ไม่พูดให้ถึงต้นตอปัญหา
อีกทั้งคนที่มองปัญหาสังคมในแง่โครงสร้าง เรียกร้องต้องการการแก้ปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ
จะไม่ใช่คนที่นิยมการทำคุณความดีแบบบริจาคการกุศล ไม่ชอบการช่วยเหลือแบบสังคมสงเคราะห์
เพราะคนที่มองปัญหาทะลุถึงต้นตอ จะต้องการแก้ปัญหาแบบรื้อทั้งระบบ
ทั้งยังมองด้วยว่า การแก้แบบผิวเผิน แบบสังคมสงเคราะห์นั้น แท้จริงคือการเลี้ยงปัญหา กระทั่งเบี่ยงเบนต้นเหตุแห่งปัญหาด้วยซ้ำ
เกิดปัญหาเด็กยากจนไม่มีที่เรียน เกิดปัญหาคนยากลำบากไม่มีการแพทย์รองรับดีพอ
พอออกมาโหมกระแสให้ทั้งสังคมช่วยกันบริจาคไปกับการวิ่งของคนดัง กลายเป็นการสร้างอารมณ์ทำบุญทำกุศล ช่วยกันบริจาคกันยกใหญ่ซาบซึ้งตรึงใจไปถ้วนหน้า
กลายเป็นเบี่ยงเบนต้นเหตุ กลายเป็นการช่วยรัฐบาลให้รอดจากสายตาสังคม ทั้งที่รัฐบาลไม่เคยสนใจแก้ปัญหา ไม่เคยทุ่มเทงบประมาณมาเพื่อสิ่งเหล่านี้
ดังนั้น ไม่แปลก ที่รัฐจะพยายามยกย่องพวกคนดีคนดังที่สร้างกระแสให้คนไทยแห่กันมาเป็นนักทำบุญ เป็นนักบริจาค นักสังคมสงเคราะห์
เพราะช่วยให้ประชาชนลืมมองมายังรัฐบาลและไม่สนใจตั้งคำถามว่าแล้วทำไมรัฐจึงไม่จัดสรรงบประมาณมาให้ถูกจุด
ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของประเทศชาติ นั่นคือจะเห็นกันทั่วว่า โครงสร้างการเมืองถูกครอบงำโดยอำนาจนอกระบบ
เกิดประชาชนทั้งประเทศลุกฮือกันขึ้นมาร่วมกับคนรุ่นใหม่ช่วยกันรื้อโครงสร้างการเมืองเมื่อไร
เมื่อนั้นอำนาจขุนศึกขุนนางที่ชักใยครอบงำการเมืองมายาวนาน จะอยู่ไม่ได้ในที่สุด
รัฐบาลที่อยู่ในเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมการเมือง มักจะเน้นปลูกฝังความคิดเรื่องคนดีมีศีลธรรมมีคุณธรรม ไปจนถึงปลุกกระแสความรักชาติ ความเป็นชาตินิยม เพื่อให้ประชาชนมาร่วมมือร่วมใจไปกับรัฐบาล แทนที่จะมาตรวจสอบรัฐบาลหรือเรียกร้องให้รัฐบาลทำงานแก้ปัญหานั้นๆ
อย่างเช่น ในสถานการณ์โควิด จะเห็นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พยายามเหลือเกินที่จะปลุกคำว่า ประเทศไทยต้องชนะ เราต้องชนะไปด้วยกัน
พร้อมๆ กับเรียกร้องให้เลิกขัดแย้งทางการเมือง อย่าเพิ่งเล่นการเมือง มาร่วมมือร่วมใจกับรัฐบาลเพื่อฝ่าฝันวิกฤตโรคร้ายหายนะนี้ไปด้วยกัน
แต่บังเอิญที่มีการเปิดโปงการทำงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล ไม่จัดหาวัคซีนให้มีครบถ้วนและรวดเร็ว มัวแต่แทงม้าตัวเดียว
แถมข้อเท็จจริงจากข่าวสารต่างประเทศ เห็นได้ไม่ยากว่า การจัดหาวัคซีนของชาติส่วนใหญ่ เขาทำรวดเร็ว และจัดหามาทุกยี่ห้อ ทุกวิธีผลิต เพื่อให้ประชาชนได้มีทางเลือก
ข้อเท็จจริงที่บอกชัดว่ารัฐบาลทำผิดพลาดตั้งแต่ต้น จึงไม่อาจจะมาปลุกปั่นกระแสชาตินิยม ปลุกให้คนไทยร่วมมือร่วมใจไปกับรัฐบาลได้
เพราะรัฐบาลไม่สั่งวัคซีนมาให้เร็ว ไม่สั่งวัคซีนที่มีคุณภาพตั้งแต่แรก อย่างนี้แล้วจะไปร่วมมือร่วมใจ สวมวิญญาณชาตินิยมได้อย่างไร!?
แถมกระแสชาตินิยมในเรื่องโควิด
ก็คือการมุ่งปกปิดต้นตอปัญหาคือความผิดพลาดรัฐบาลมากกว่า
เหล่านี้เป็นคำตอบว่า ถ้าประเทศยังมีปัญหา และเห็นชัดอยู่แล้วว่าต้นตอปัญหาอยู่ตรงไหน
กระแสชาตินิยมที่รัฐบาลพยายามปลุก ก็จะถูกต่อต้าน เพราะเป็นการกลบปัญหามากกว่า
กระแสทำความดีแบบการกุศล ทำดีแบบสังคมสงเคราะห์ ก็ย่อมถูกต่อต้าน เพราะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกทาง เป็นการแก้ปัญหาที่ผิวเผิน
ที่สำคัญยิ่งวิ่งการกุศล ก็คือยิ่งกลบเกลื่อนปัญหาที่แท้จริง ยิ่งเป็นการเลี้ยงปัญหา
ไม่ว่าจะประเด็นชาตินิยม ประเด็นการกุศลสังคมสงเคราะห์
สังคมไทยได้มาถึงจุดที่คนรุ่นใหม่ ไม่ยอมซาบซึ้งน้ำตาไหลไปด้วย เพราะน้ำตาจะทำให้การเห็นปัญหาแท้จริงพร่ามัว!