‘จุดเปลี่ยน’ และชีวิตที่มีกำไรแล้ว ของเต๋อ ฉันทวิชช์/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

‘จุดเปลี่ยน’

และชีวิตที่มีกำไรแล้ว

ของเต๋อ ฉันทวิชช์

 

นี่ถ้าไม่ได้เจอ ‘จุดเปลี่ยน’ ที่อยู่ดีๆ ระหว่างตะลุยอ่านหนังสือฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อย่างเอาเป็นเอาตายในช่วงเตรียมสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ประเทศไทยอาจจะมี ‘นายแพทย์ฉันทวิชช์ ธนะเสวี’ แทนที่จะเป็นเต๋อ ฉันทวิชช์ นักแสดงฝีมือดีและคนเขียนบทมากความสามารถไปแล้วก็ได้

“คือตอนเอ็นทรานซ์คะแนนก็ถึง” อดีตนักเรียนสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งตั้งใจเรียนมากมาแต่ไหนแต่ไรเล่า

“แต่พอจุดหนึ่ง อ่านหนังสือพวกนี้แล้วไม่สนุกเลยในความคิดเรา เลยรู้สึกว่าถ้าไปเรียนหมอหรือคณะที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ต่างๆ นานา ก็ต้องอยู่กับสิ่งที่เราไม่สนุกไปตลอด สมมุติไปทำงานเป็นหมอ ก็ต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวะ เกี่ยวกับแพทย์ไปตลอดชีวิต รู้สึกไม่ไหว มันเหนื่อย มันเครียด”

เหตุนั้นเลยตั้งใจคิดว่า รู้สึกว่าอะไรที่ทำแล้วไม่เครียดบ้าง และก็ได้คำตอบว่าคือการดูภาพยนตร์ ซึ่งวันๆ หนึ่งดูติดต่อกัน 4-5 เรื่องก็ได้ ไม่มีบ่น แล้วก็ตัดสินใจเบนเข็ม

“อยากทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับหนัง ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ” เขาเล่าพลางหัวเราะเบาๆ

เล่าด้วยว่าตอนไปบอกแม่ “แม่ก็ช็อก”

“เพราะผมตอบแม่ไม่ได้ไง ว่าเรียนแล้วจะไปทำอะไรต่อ”

เรื่องอาชีพในวงการบันเทิงที่ว่ากันว่าไม่มั่นคง นั่น “ก็รู้” เขาว่า

“แต่ผมรู้สึกว่าความมั่นคงของอาชีพ มันไม่เท่ากับความมั่นคงของจิตใจ หมายถึงผมรู้สึกว่า ถ้าเราทำงานที่เรามีความสุข เราจะทำงานได้ทุกวัน แต่ถ้าเราทำงานที่มันมั่นคง แต่เราไม่แฮปปี้ ถึงจุดหนึ่ง เราก็ต้องเดินออกมาอยู่ดี”

เต๋อในวัย 38 ปี ยังเล่าด้วยว่าช่วงแรกๆ ที่เขาเข้าวงการเมื่อราว 15 ปีก่อน ตอนนั้นนึกไปว่าตัวเองเก่งในเรื่องเขียนบท ซึ่งความจริงแล้ว “ไม่ใช่”

“ผมเรียนภาพยนตร์ มันจะมีวิชาเขียนบท ผมก็เริ่มต้นเขียนบทจากวิชานั้น ซึ่งก็ไม่ได้ดีหรอก แต่คะแนนดี พออาจารย์ให้คะแนนดีปั๊บ เราก็ภาคภูมิใจมากเลย ว่าเราเขียนบทเก่ง จนพอออกมาทำงานจริงๆ คนที่เรียนฟิล์มมาด้วยก็มาเขียนด้วยกัน ชื่อเรื่องเก๋า…เก๋า พอเขียนถึงได้รู้ว่าโลกความจริงมันยากมาก ที่เราคิดว่าเราเก่งแล้ว แต่เรายังเล็กกระจิริดมากในวงการภาพยนตร์ บทเรื่องนั้นใช้เวลาเกือบ 2 ปี นานมาก ตอนนั้นเครียด ว่าทำไมมันยากขนาดนี้ แล้วเพื่อนๆ หลายคนก็ไปทำอย่างอื่นกันแล้ว เพราะรู้สึกว่าเขียนบทไม่ใช่ตัวเขา มีเราที่สู้ต่อ”

จนสามารถมีวันนี้

ที่ฮึด ที่สู้ เต๋อบอกปนอาการหัวเราะๆ ว่า “หลักๆ มาจากแม่เลยครับ”

“เพราะเราบอกแม่ว่าจะต้องพยายามทำให้เป็นอาชีพให้ได้ และหลังจากนั้นก็ไม่มีเงินที่แม่ส่งมาให้อีกต่อไป เราก็ต้องหาเลี้ยงตัวเอง เริ่มต้นจากเขียนบทมาแล้ว ขอลองอีกสักตั้งหนึ่ง แล้วผมก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นด้วยตอนนั้น คือเพื่อนบางคนไปขายเสื้อผ้า ก็มีเงิน มีงานอะไรกันไป แต่เราทำอย่างอื่นไม่ได้ คล้ายๆ ไม่ได้มีตัวเลือกขนาดนั้น”

ซึ่ง “ดีใจมากที่วันนั้นไม่ได้ท้อ ไม่ได้เลิกไป” เต๋อบอก

เพราะ “ทุกวันนี้ปรากฏเป็นหนึ่งในงานที่สนุกมาก ประกอบกับได้เจอคนเก่งๆ ได้เจอคนดีที่เหมือนไกด์ ชี้นำเราไปในทางที่ถูก ผมได้เขียนเรื่องแรกกับพี่บอล วิทยา (วิทยา ทองอยู่ยง) ก็ได้เรียนรู้จากเขาและเพื่อนๆ คุณเมษ ธราธร ที่เขียนด้วยกัน เขาก็ช่วยเราเยอะ จนมาเจอพี่โต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกูล) ที่ผลักดันเราไปอีกจุดหนึ่งเลย คือเขาจะมีมายด์เซ็ตว่า แค่คำว่าดี ไม่พอ ต้องดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนะ แต่ในแต่ละซีน แต่ละคำที่เขียน ต้องดีที่สุด”

“คือเขาเป็นคนที่ตั้งใจและมุ่งมั่นมาก แล้วมันก็พาเราไปสู่อีกจุดหนึ่ง”

 

เต๋อซึ่งตอนนี้ทั้งงานเขียนบทและงานแสดงเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป บอกด้วยว่า ในความคิดของเขา เขารู้สึกว่าตนเอง “เลยจุดของความสำเร็จมาแล้ว”

“ทุกวันนี้มันก็กำไรแล้ว”

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาอยู่จุดนี้ได้ เป็นนักแสดงที่มีคนรู้จัก สามารถได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ นักแสดงเก่งๆ ผู้กำกับฯ เก่งๆ จะว่าไป ชีวิตผมตอนนี้เป็นชีวิตที่ตอนมหาวิทยาลัยไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ทำขนาดนี้”

“โฟกัสของผมในแต่ละวันตอนนี้จึงเป็นใช้ชีวิตแต่ละวันให้มีความสุข และมีเป้าหมายใหม่เรื่อยๆ เช่น อยากจะเล่นหนังที่ไม่เคยเล่นมาก่อน บทบาทแปลกๆ ที่ไม่เคยทำ ที่มันๆ สนุกๆ หรืออยากจะเป็นผู้กำกับหนังสักเรื่อง”

“งานกำกับฯ ที่เป็นของตัวเองสักชิ้นในอนาคต”

และก็ทำออกมาให้ดีที่สุด