ท่าอากาศยานต่างความคิด : อาวรณ์นคร (1)

เมืองทุกเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

หากคำว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ สามารถใช้กับชีวิตของผู้คน มันย่อมสามารถใช้กับเมืองได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ในหนึ่งชีวิตของเรา เราผ่านการเกิด เติบโต ชราและจากโลกนี้ไป

เมืองก็เป็นเช่นนั้น หากแต่ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจยาวนานมากจนหลายคนไม่อาจจดจำรายละเอียดได้ชัดเจน

กรุงเทพฯ เมื่อแรกตั้งในสองร้อยกว่าปีก่อนย่อมไม่ได้เป็นแบบนี้

ถนนข้างคลองเล็กๆ อย่างสาทรคงไม่คิดว่าวันหนึ่งมันต้องแบกรับอาคารสูงที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและไม่มีใครใช้คลองสาทรสำหรับการสัญจรทางเรืออีกต่อไปแล้ว

เชียงใหม่เมื่อเจ็ดร้อยกว่าปีก่อนย่อมไม่ได้เป็นแบบนี้ และกำแพงเมืองทั้งสี่ด้านคงไม่คาดคิดว่ามันไม่ได้รับภาระในการป้องกันผู้รุกรานจากพม่าหรือเมืองข้างเคียงอีกต่อไป

หากแต่กลับกลายเป็นฉากหลังในการถ่ายรูปตนเองจากผู้รุกรานที่มีนามว่านักท่องเที่ยวแทน

หลายสิ่งสูญหาย

หลายสิ่งสูญสิ้นนิยามที่พวกมันเคยเป็น

หลายสิ่งไม่เหมือนเดิมแต่เมืองยังคงอยู่ต่อไป

และกลายเป็นสิ่งแปลกหน้าสำหรับผู้ที่ยังมีความทรงจำอันเเจ่มชัดต่อมันแทน

ผู้คนจดจำเกี่ยวกับเมืองของเขาแตกต่างกันไป

บางคนจดจำมันในฐานะของแหล่งกำเนิดในชีวิต

บางคนจดจำมันในฐานะของดินแดนที่เติบโต

บางคนจดจำมันในฐานะของพื้นที่แห่งการสูญเสีย

ความทรงจำของแต่ละคนเกี่ยวกับเมืองหรือสถานที่ในเมืองมีความซับซ้อน แยบยลและลึกล้ำ

ผมเคยพบชายชราบางคนที่เปิดแผงขายของสดในตลาดสามย่าน

ในวันนี้แผงของเขาไม่มีอีกต่อไป ทุกอย่างที่เขาคุ้นเคยกลายเป็นอาคารสูงทันสมัย

ไม่มีเสียงตะโกนโหวกเหวกในตลาด ไม่มีผู้คนเบียดเสียดจับจ่ายซื้อของในช่วงเทศกาล มีเพียงพื้นที่สะอาด โล่ง ก่อสร้างอย่างประณีต และเย็นจับใจด้วยเครื่องปรับอากาศ

เขาชี้นิ้วไปที่ร้านหรูหราแห่งหนึ่ง และพูดว่า

“แผงของผมคงอยู่ตรงตำแหน่งนั้น ด้านหน้าแผงเล็กกว่ากระจกหน้าร้านนั้นนิดหน่อย และผมใช้แผงนั้นเลี้ยงครอบครัวตนเอง แต่ยามนี้ผมไม่มีแผงนั้นอีกแล้ว ผมเลิกขายของสด ผัก เครื่องแกงและสิ่งต่างๆ ผมได้เวลาพักแม้จะไม่ยินยอมพร้อมใจก็ตาม สิ่งที่ผมหลงเหลือเกี่ยวกับแผงของผมมีเพียงแต่-ความทรงจำ”

นั่นคือความเป็นจริงเกี่ยวกับเมือง เราผูกพันกับเมืองด้วยความทรงจำ หาใช่ผูกพันกับมันเพียงแค่การใช้ชีวิตเท่านั้น

คนแต่ละรุ่น แต่ละกลุ่มผูกพันกับเมืองต่างกันไป

วงเวียนใหญ่สำหรับผู้คนรุ่นหนึ่งคืออนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชและทางรถไฟสายแม่กลอง ในขณะที่สำหรับคนอีกกลุ่มคือสถานีรถไฟฟ้าและอาคารพักอาศัยจำนวนมากชั้น

สี่แยกราชประสงค์คือสถานที่จับจ่ายใช้สอยสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นสถานที่ต่อสู้ทางการเมืองของคนอีกกลุ่มอย่างแน่นอน

เราค้นลึกไปในความทรงจำของเราและนิยามเมืองจากตรงนั้น

ผมนิยามเมืองจากส่วนที่หายไป

มีสถานที่สองแห่งที่หายไปในเมืองที่เรียกว่ากรุงเทพฯ

สำหรับผม มีสถานที่สองแห่งที่ทุกครั้งเมื่อผมผ่านสิ่งที่เคยเป็นมันแล้วจะรู้สึกห่วงหาอาลัยและอาวรณ์

ผมรู้ดีว่ามันไม่มีวันกลับมา มันเป็นการหายลับดับสูญ

คุณอาจสร้างมันขึ้นใหม่ได้หากมีเงินและเวลา แต่นั่นจะไม่มีทางทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิม

ไม่มีทาง

สถานที่แห่งแรกนั้นคือโรงเรียนกวดวิชาเล็กๆ แห่งหนึ่ง อันที่จริงแล้วเราจะเรียกมันว่าโรงเรียนกวดวิชาก็หาได้ถูกต้องตามความเป็นจริงไม่

มันคือโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีชั้นเรียนครบถ้วน จากประถมต้นสู่ประถมปลาย จากประถมปลายสู่มัธยมต้น จากมัธยมต้นสู่มัธยมปลาย

มันเป็นโรงเรียนที่สมบูรณ์แบบ มีชื่อเสียงเรียงนาม มีนักเรียนนับร้อยนับพันใช้ชีวิตยามปกติอยู่ที่นั่น จากแปดโมงเช้าถึงสามโมงเย็น จันทร์ถึงศุกร์

มีประกาศนียบัตรมีทุกอย่างรวมถึงชีวิตของนักเรียนที่จบการศึกษาจากที่นั่นด้วย

ชีวิตของนักเรียนเหล่านั้นยังคงอยู่ ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้

แต่ชีวิตของโรงเรียนสมถวิล ราชดำริ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

ผมเรียนกวดวิชาที่นั่น ที่โรงเรียนสมถวิลราชดำริ วันเสาร์และอาทิตย์ในภาคฤดูร้อนครั้งหนึ่งก่อนการเริ่มต้นชีวิตนักเรียนมัธยมปลาย

ในวันเวลาปกติ นักเรียนชายไม่มีโอกาสย่างกรายเข้ามาในที่แห่งนี้ ที่นี่เป็นโรงเรียนสตรี เป็นโรงเรียนที่มีแต่นักเรียนหญิงล้วน มีแต่เครื่องแบบที่เป็นกระโปรงที่เดินผ่านประตูโรงเรียนทุกเช้า ไม่มีใครก็ตามที่ผ่านประตูโรงเรียนมาในชุดกางเกงไม่ว่าจะขาสั้นหรือขายาว

แต่เมื่อวันหยุดมาถึง รูปแบบการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป

โรงอาหารเปิดทำการแม้จะเพียงครึ่งวัน นักเรียนจากทุกที่มาที่นั่น สูง ต่ำ ดำ ขาว ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดอายุ

ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงเรียนกวดวิชาที่มีชื่อเสียงในยุคของผม

และการสอบเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมปลายในยุคนั้นดูจะเป็นดังเสียงเกรี้ยวกราดที่ก้องในหูของเราทุกคนที่มีความฝัน

นักเรียนหญิงอยากสอบเข้าโรงเรียนชั้นนำอย่างสตรีวิทยาหรือศึกษานารี

นักเรียนชายอยากสอบเข้าโรงเรียนชั้นนำอย่างสวนกุหลาบหรือเทพศิรินทร์

นักเรียนชายที่เข้มแข็งอยากสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร

นักเรียนที่ใฝ่ใจในการช่างอยากสอบเข้าอุเทนถวายหรือเทคนิคกรุงเทพ

ส่วนนักเรียนที่อยากใกล้ชิดรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยากสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

การได้ประดับพระเกี้ยวบนหน้าอกเป็นความฝันหนึ่งของนักเรียนหลายคน

และผมเป็นหนึ่งในจำนวนนักเรียนหลายคนนั้น

การสอนกวดวิชาในยุคนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน

เราเริ่มด้วยการทำข้อสอบเข้าโรงเรียนชั้นนำที่หาได้ย้อนหลังไปให้ไกลที่สุดและไล่มาจนถึงปัจจุบัน

ในแต่ละวันเราจะเริ่มด้วยวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นยาขมหม้อใหญ่ ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา และปิดท้ายด้วยการท่องอาขยานภาษาไทยและกลับบ้านหลังจากนั้น

นักเรียนที่มาที่โรงเรียนแต่งกายหลากแบบ

นับตั้งแต่แฟชั่นนำสมัยจนถึงชุดนักเรียนที่หลายคนคิดว่าสะดวกดีและประหยัด

กมลชนกแต่งกายแบบนั้นในชุดนักเรียนหญิงคอซองและผมพบเธอที่นั่นเป็นครั้งแรก

จากการนั่งห่างกัน มาเป็นการนั่งไม่ไกลกัน และในที่สุดเราก็นั่งร่วมโต๊ะเรียนเดียวกัน

เธอมาจากโรงเรียนต่างจังหวัดคือสมุทรปราการ เธอให้เหตุผลว่าการใส่เครื่องแบบนักเรียนนอกจากจะประหยัดแล้วยังทำให้พ่อแม่ของเธอวางใจว่าเธอจะไม่เถลไถลไปไหนหลังจากโรงเรียนเลิก

เธอเป็นเด็กสาวที่ใบหน้าแสดงความเป็นมิตรตั้งแต่แรกเห็น

แต่ความเป็นมิตรไม่ได้สร้างมิตรภาพขึ้นได้ในโรงเรียนกวดวิชา

ความเก่งกาจและชาญฉลาดต่างหากที่เป็นคุณสมบัติสำคัญ

หลังการพิสูจน์ตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าการทำข้อสอบในอดีตเหล่านั้นล้มเหลว เธอก็ถอยตนเองออกห่างจากหน้าห้องมากขึ้นทุกที

จนในที่สุดเธอก็มาถึงหลังห้อง โต๊ะแถวสุดท้ายของห้องที่ผมครอบครองอยู่

ในโรงเรียนกวดวิชา นักเรียนที่ไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้เลยจากการสอนจะถูกทอดทิ้งอย่างรวดเร็ว

และนั่นทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมกมลชนกจึงกลายเป็นบุคคลผู้ที่ไม่พึงปรารถนาและทำไมเธอถึงมาที่นี่

กมลชนกขาดความรู้ในระดับมัธยมต้นที่จำเป็น

เธอไม่สามารถคำนวณกระแสไฟฟ้าที่แล่นผ่านหลอดไฟได้

เธอไม่สามารถจำได้ว่าพระยาอุปกิตศิลปสารมีชื่อจริงว่าอะไร

ไม่นับเรื่องที่พื้นลงไปอีกว่าเมืองแกลงในนิราศของสุนทรภู่นั้นตั้งอยู่ที่ไหน

เธอมีแต่เพียงความมุ่งมั่นที่จะสอบเข้าโรงเรียนสตรีมีชื่อสักแห่ง แต่โรงเรียนกวดวิชาไม่ใช่โรงเรียนปรับพื้นความรู้ของใครก็ตาม เราจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานบางประการเป็นบันไดขั้นต้นที่จะใช้ก้าวต่อไป

ว่าไปแล้วหลักการจริงๆ ของโรงเรียนกวดวิชาคือการมาเรียนรู้เทคนิคมากมายในการทำข้อสอบ การคาดเดาข้อสอบที่จะต้องออกแน่นอนในปีนั้น

มันเป็นสถานที่ฝึกฝนผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงมาแล้วให้แข็งแรงมากพอที่จะดันตนเองไปสู่แถวหน้าได้

แต่ไม่ใช่สถานที่ที่จะสร้างร่างกายให้แข็งแรง

กมลชนกควรทำเช่นนั้นในโรงเรียนของเธอ แต่ไม่ใช่ในโรงเรียนกวดวิชาแห่งนี้

ผมใช้ความรู้ภาษาอังกฤษสอนบางอย่างที่คิดว่าสำคัญให้กับเธอ

ทว่า การผันกิริยาก็ดูยากเย็นเกินไปสำหรับเธอ

กมลชนกอาจแยกอดีต ปัจจุบัน อนาคตของกิริยาได้ แต่เมื่อมันก้าวข้ามไปถึงกิริยาแบบที่ดำเนินจากอดีตมาปัจจุบันและจะเดินหน้าต่อไปในอนาคต เธอก็ยกธงขาว

ช่วงเวลาท้ายของการกวดวิชา เธอกล่าวกับผมอย่างเศร้าๆ ว่า “ฉันคงต้องเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม หรือไม่ก็เบนเข็มไปเรียนอะไรที่ไม่ใช่การเข้ามหาวิทยาลัย”

สำหรับเด็กอายุสิบห้าสิบหกในตอนนั้น การปลอบใจใครก็ตามเป็นสิ่งที่ต้องมีประสบการณ์อย่างมาก

และสำหรับผมที่มาจากโรงเรียนชายล้วนแล้ว การปลอบใจนักเรียนหญิงยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเอาเลย

ผมบอกเธอว่าให้เธอทดลองทำข้อสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก อันไหนที่ไม่เข้าใจให้ข้ามไปแล้วย้อนมาทำมันในภายหลัง

กำหนดสอบเข้าโรงเรียนในชั้นมัธยมปลายใกล้เข้ามาแล้ว ผมบอกเธอได้เพียงว่า

“ทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยเราก็ได้พยายาม”

วันสุดท้ายของการเรียนกวดวิชา เราต้องทำการสอบเหมือนดังการสอบจริง

ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ผมทำข้อสอบเต็มความสามารถ และทุกครั้งที่ผมเหลือบมองกมลชนก เธอจะนั่งกัดหัวดินสอด้วยอาการครุ่นคิดตลอดเวลา

เมื่อหมดวัน ครูกวดวิชารวมคะแนนของพวกเรา หลายคนได้คะแนนเต็มแบบน่าชื่นใจ

ในขณะที่หลายคนได้คะแนนน่าพอใจ

ส่วนกมลชนกนั้นเธอสอบตกในทุกวิชา พวกเราทุกคนแลกเปลี่ยนสมุดจดชื่อและที่อยู่อันเป็นธรรมเนียมที่ไร้สาระ เพราะหลังจากนั้นแล้วไม่เคยมีใครติดต่อใคร

กมลชนกให้รายละเอียดของเธอกับผมก่อนที่เธอจะเดินออกจากประตูโรงเรียนและจากไป

ผมสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้ในปีนั้น

หลังดูผลการสอบของตนเอง ผมนั่งรถประจำทางไปยังโรงเรียนสตรีที่กมลชนกตั้งใจจะไปศึกษาต่อ

ผมใช้สายตาไล่รายชื่อที่ติดอยู่บนกระดานไม้หน้าโรงเรียนสองสามรอบ แต่ไม่มีชื่อของกมลชนกบนนั้น

เธอหายไปจากชีวิตของผมนับแต่วันสุดท้ายของโรงเรียนกวดวิชา

และอีกไม่กี่ปีต่อมา โรงเรียนสมถวิลราชดำริก็ถูกทุบทิ้งเพื่อสร้างเป็นอาคารทันสมัยแทน

พื้นที่บนถนนราชดำริมีราคาแพงกว่าทองคำเกินกว่าจะมาใช้เป็นสถานศึกษาได้

ผมกลับไปที่อาคารทันสมัยแห่งนั้น นั่งลงในร้านอาหารชั้นใต้ดินของมัน

แล้วจู่ๆ ผมก็นึกถึงกมลชนก

สามสิบปีผ่านไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้กระทั่งพื้นที่แห่งความทรงจำของเรา