สถานการณ์แยกดินแดง กลุ่มทะลุแก๊ส คัมแบ๊ก ประสานคาร์ม็อบรีเทิร์น รำลึก 15 ปี 19 กันยาฯ 49/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

สถานการณ์แยกดินแดง

กลุ่มทะลุแก๊ส คัมแบ๊ก

ประสานคาร์ม็อบรีเทิร์น

รำลึก 15 ปี 19 กันยาฯ 49

 

เสียงจากปืนยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางที่ดังแบบรัวๆ

สลับเสียงกัมปนาทตอบโต้ด้วยพลุไฟและประทัดยักษ์สนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณแยกดินแดง

สมรภูมิเผชิญหน้าแนวร่วมเยาวชน “กลุ่มทะลุแก๊ส” รวมตัวต่อต้านอำนาจรัฐกดขี่ กับตำรวจกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน หรือรู้จักกันในชื่อย่อ “คฝ.” นำมาสู่ความรุนแรงต่อเนื่องในเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา

ภายใต้อารมณ์โกรธแค้นสถานการณ์แยกดินแดงนับวันยิ่งทวีความรุนแรง

เห็นได้จากสถานการณ์ 11 กันยายน ตำรวจควบคุมฝูงชนยกระดับปฏิบัติการไล่ล่าจับกุมผู้ชุมนุมบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง มากถึง 52 คน ในจำนวนนี้เป็นเยาวชนถึง 9 คน นับเป็นการจับกุมผู้ชุมนุมมากที่สุดนับตั้งแต่มีการชุมนุมแยกดินแดง

ก่อนเริ่มปฏิบัติการเข้ากระชับพื้นที่ในเวลาประมาณ 21.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังเคอร์ฟิว ได้มีการตรวจสอบบัตรสื่อมวลชนที่ลงพื้นที่รายงานข่าว และขอให้ปิดการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กไลฟ์อีกด้วย

ศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน รายงานจำนวนผู้ชุมนุมและทีมแพทย์อาสาที่ถูกจับกุมในวันดังกล่าว ว่า มีผู้ถูกควบคุมตัวไปยัง 4 สถานที่ ได้แก่ สน.ดินแดง ทีมแพทย์อาสา 25 คน ตำรวจปล่อยตัวโดยไม่แจ้งข้อหา, สน.พหลโยธิน เป็นเยาวชน 8 คน, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) 19 คน ส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ 2 คน รวม 21 คน

และ สน.ดอนเมือง 23 คน เยาวชน 1 คน รวม 24 คน

ขณะเดียวกันทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้เผยแพร่ภาพตำรวจ คฝ.ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าเป็นแผลฉกรรจ์ พร้อมอ้างว่าเป็นผลจากการถูกประทัดยักษ์ปาใส่ขณะจู่โจมจับกลุ่มผู้ก่อเหตุแยกดินแดง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ หรือ อ.ห.ต. กล่าวถึงเหตุการณ์แยกดินแดงว่า ไม่ควรมีใครบาดเจ็บทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อเกิดเหตุปะทะทุกวันและรุนแรงมากขึ้น รัฐจะเดินหน้าปฏิบัติการต่อไปแบบนี้ไม่ได้

การควบคุมฝูงชนไม่ได้หมายเพียงแค่แก๊สน้ำตา กระสุนยาง น้ำสารเคมี ไล่ยิง ไล่ตี แต่ต้องมีกระบวนการอื่นเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

ประยุทธ์ออกไปทุกอย่างจบ แต่เมื่อไม่ออกก็ไม่ควรใช้กำลังกับเด็กจนเรื่องบานปลายไปเรื่อยๆ

อย่าเห็นเด็กเป็นศัตรู ต้องรู้จักคนกลุ่มนี้ให้ได้ว่าอะไรเป็นแรงขับให้ออกมา แก้ได้เยียวยาได้ต้องรีบทำ อย่าให้พวกเขากลายเป็นเหยื่อทั้งความบกพร่องและความรุนแรงของรัฐ

เจ้าหน้าที่ก็คน ผู้ชุมนุมก็คน รัฐต้องเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ ปล่อยให้คนปะทะกันจนวันหนึ่งถ้าสูญเสียกลายเป็นคนฆ่ากัน นายกฯ ก็จะผลักเป็นความผิดของผู้ชุมนุม เรื่องแบบนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสังคมไทย

ต้องถอดบทเรียนจากอดีตไม่ให้ซ้ำรอย

 

รุนแรงต่อเนื่อง วันที่ 12 กันยายน ม็อบทะลุแก๊สกลับมารวมตัวแยกสามเหลี่ยมดินแดงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเกิดเหตุเพลิงไหม้ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ แยกทางด่วนดินแดง ถนนวิภาวดี ตรงข้ามกรมดุริยางค์ทหารบก

สถานการณ์กดดันให้ฝั่งตำรวจ คฝ.ต้องเปิดปฏิบัติการปราบปรามผู้ชุมนุมอีกครั้ง

ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่ต่อมาได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างหนัก กรณีรถคุมขังของตำรวจตะลุยพุ่งชนเยาวชนทะลุแก๊ส อายุ 14 ปี จนร่างกระเด็นได้รับบาดเจ็บ ก่อนขับต่อไปโดยไม่จอดลงมาดูว่าคนถูกชนจะเป็นหรือตาย

พล.ต.ท.ภัครพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. แถลงชี้แจงเหตุการณ์ อ้างว่า ขณะเกิดเหตุรถคุมขังตำรวจขับผ่านสามเหลี่ยมดินแดง ผู้ชุมนุมวิ่งกรูใช้อาวุธทุบรถเสียหาย เจ้าหน้าที่เกรงถูกทำร้าย จึงรีบขับหลบหนีมาจอดที่โรงพยาบาลพระมงกุฏ ไม่มีพฤติกรรมชนแล้วหนี

ภายหลังเหตุการณ์ 11-12 กันยายน กลุ่มทะลุแก๊สประกาศยุติบทบาทชั่วคราว จนกว่าจะได้ข้อสรุปด้านยุทธศาสตร์และจะกลับมาอีกครั้งวันที่ 18 กันยายน

ถึงกระนั้นยังคงมีมวลชนจำนวนหนึ่งมารวมตัววันที่ 13 กันยายน เผชิญหน้าท้าทายแก๊สน้ำตาและกระสุนยางของ คฝ. ที่บางส่วนแจกจ่ายเผื่อแผ่มายังกลุ่มสื่อมวลชนที่ปักหลักรายงานเหตุการณ์

มีการเข้าควบคุมตัว 2 นักข่าวอิสระ นายณัฐพงศ์ มาลี หรือโอปอล จากเพจสำนักข่าวราษฎรŽ และ น.ส.พนิดา เอนกนวน จากเพจ “ปล่อยเพื่อนเรา”

พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. กล่าวว่า การควบคุมตัว 2 แอดมินเพจ เพราะออกมานอกเคหสถานในช่วงเวลาเคอร์ฟิวโดยไม่มีเหตุอันควร และจากการตรวจสอบ 6 สมาพันธ์องค์กรสื่อ ไม่ยืนยันว่าเป็นนักข่าว

ทั้งนี้ ต่อมาศาลพิจารณาให้ปล่อยตัวนักข่าวอิสระทั้ง 2 คน โดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์ประกัน

 

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์คัดค้านการจับกุม 2 นักข่าวพลเมืองว่า หาเหตุผลอื่นใดไม่ได้นอกจากเพื่อทำลายผู้เปิดโปงความอำมหิตป่าเถื่อนที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชน

เห็นได้จากเหตุการณ์ตำรวจใช้กระบองฟาดซ้ำผู้ชุมนุม ยิงกระสุนยางใส่รถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านไป-มาในระยะประชิด

“การหาเรื่องจับนักข่าวเหล่านี้ จึงไม่อาจหาเหตุผลอื่นใดได้เลย นอกจากเพราะฝ่ายรัฐต้องการปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ให้เห็นความอำมหิตที่ฝ่ายตนได้กระทำ จึงต้องทำลายผู้มาเปิดโปงการกระทำเหล่านั้น นั่นหมายความว่ารัฐบาลนี้ยังคงยืนยันที่จะใช้ความรุนแรง กดหัวผู้เห็นต่างไม่ให้เงยหน้าขึ้นมาท้าทาย”

เพจ DemAll สมาพันธ์สื่อไทยเพื่อประชาธิปไตย โพสต์ข้อความเรียกร้องตำรวจหยุดคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน คำว่าสังกัดไม่ควรจำเพาะเจาะจงองค์กรสื่อขนาดใหญ่ แต่ประชาชนทุกกลุ่มล้วนเป็นสังกัดของตนเอง

หยุดใช้อำนาจข่มขู่ หยุดปิดกั้นการทำงานและหยุดใช้อำนาจกฎหมายควบคุมตัวสื่อมวลชน

พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และโฆษก บช.น. สรุปการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงวันที่ 15 กันยายน รวมทั้งสิ้น 205 คดี มีผู้ต้องหาทั้งหมด 767 คน ติดตามจับกุมตัวได้แล้ว 522 คน

ส่วนกรณีแจ้งความเอาผิดผู้ทำลายทรัพย์สินเผาซุ้มที่เกิดเพลิงไหม้ เบื้องต้นจับกุมตัวผู้กระทำผิดแล้ว 1 ราย เป็นเยาวชน ส่วนจะดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ ต้องดูพยานหลักฐานว่าเข้าข่ายหรือไม่

และแล้วก็มีเสียงขอร้องจากโทนี่ วู้ดซัม

“อยากขอร้องรัฐบาลหันหน้าคุยกับเยาวชน การใช้ความรุนแรงไม่ช่วยอะไร ไปคุยกับเด็กหน่อย เขามีความคิดดี อย่าคิดว่าเสียฟอร์ม ต้องฟัง แทนที่จะไปขับรถชนเด็ก

ตอนนี้ คฝ.กำลังทำลายชื่อเสียงของตำรวจทั้งระบบ กำลังทำลายสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้งระบบ ถ้านายกฯ ไปฟังเด็ก อะไรทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็อธิบาย ก็ดีกว่าไปทำร้ายเด็ก หนักเข้าๆ ถ้ารวมตัวไปฟ้องศาลโลก นายกฯ อาจต้องไปขึ้นศาลโลก ขอร้องรัฐบาล เด็กเหล่านี้คือลูก-หลาน คุยกัน ดีกว่าปราบปรามแบบนี้”

 

สามเหลี่ยมดินแดงยังเป็นสมรภูมิที่ต้องจับตา

รวมถึงเหตุการณ์ที่ยังไร้คำตอบกรณีเยาวชนอายุ 15 ปี ที่ถูกยิงด้วยกระสุนจริงบริเวณหน้า สน.ดินแดง ได้รับบาดเจ็บโคม่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม รวมถึงการสอบสวนข้อเท็จจริงคลิปภาพเหตุการณ์ตำรวจ คฝ.ยืนกลางถนน กระหน่ำยิงกระสุนยางใส่รถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านไป-มา

การประกาศจะกลับมาของกลุ่มทะลุแก๊สในวันที่ 18 กันยายน ต้องรอดูว่าจะมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การต่อสู้อย่างไรหรือไม่

หมายความถึงการนัดหมายชุมนุมใหญ่ “คาร์ม็อบ” รีเทิร์น ในวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน ตรงกับวาระครบรอบ 15 ปีการยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร 19 กันยายน 2549 โดยคณะนายทหาร คมช. ภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ในขณะนั้น

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด สองแกนนำคาร์ม็อบ นัดรวมตัวที่ป้อมค่ายแยกอโศก เวลา 14.00 น. เตรียมเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบครั้งประวัติศาสตร์

ขบวนคาร์ม็อบ 19 กันยายน มีสัญลักษณ์แสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันทุกคันรถ ตลอดเส้นทางมีไฮไลต์ท์เรื่องราวการต้านรัฐประหาร เรียกร้องประชาธิปไตย ทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงโดยสันติวิธี ไม่บวก ไม่ลุย ไม่ปะทะ

แต่จะขับรถยนต์ชนรถถัง ประกาศศักดิ์ศรีประชาชนให้เผด็จการได้เห็น

ในจังหวะที่อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังสั่นคลอนจากปัญหาภายใน

การคัมแบ๊กของกลุ่มทะลุแก๊ส คู่ขนานไปกับคาร์ม็อบรีเทิร์น แม้ยุทธวิธีจะแตกต่าง แต่ก็อยู่ภายใต้เป้าหมายยุทธศาสตร์เดียวกันคือขับไล่ประยุทธ์ ต่อต้านเผด็จการกดขี่

จึงเป็นสถานการณ์ที่สร้างปัญหาให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว