หนุ่มเมืองจันท์ : ‘ทิม’ สอนน้อง

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ

หนุ่มเมืองจันท์ / www.facebook.com/boycitychanFC

 

‘ทิม’ สอนน้อง

 

ตอนที่เห็นชื่อ “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ลงสมัครในนามพรรคอนาคตใหม่ ก่อนจะเป็น “ก้าวไกล” ในวันนี้

ผมก็เริ่มจับตามองนักการเมืองหนุ่มคนนี้

ส่วนหนึ่งเพราะเคยติดตามเรื่องราวของเขามาก่อน

เคยอ่านประวัติของ “ทิม” ตอนที่กลับมารับช่วงต่อธุรกิจโรงงานน้ำมันรำข้าวจากพ่อที่เสียชีวิตกะทันหัน

ตอนนั้นเขาอายุแค่ 24 ปี

ชีวิตของ “ทิม” คล้ายกับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่ต้องทิ้งความฝันที่จะเป็น “เอ็นจีโอ” มารับช่วงกิจการ “ไทยซัมมิท ออโตพาร์ท”

“ดีเอ็นเอ” ในความเป็นนักบุกเบิกของทั้งคู่น่าจะใกล้เคียงกัน

คนหนึ่ง เป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกยุบพรรคไป และโดนตัดสิทธิทางการเมือง

อีกคนหนึ่ง รับไม้ต่อเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล

ผมรู้จัก “ทิม” มาก่อนใน 3 มุม

มุมหนึ่ง มาจากบทสัมภาษณ์เรื่องการพลิกฟื้นธุรกิจโรงงานน้ำมันรำข้าวที่เป็นหนี้ 100 ล้าน ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ

มุมหนึ่ง เพราะเขาเป็นหลานของพี่ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตเลขาฯ ส่วนตัวของ “ทักษิณ ชินวัตร” ตอนเป็นนายกรัฐมนตรี

“ประสิทธิ์” คุณพ่อของเขาเป็นพี่ชายของ “ผดุง”

ผมค่อนข้างสนิทกับ “พี่ดุง” เพราะต้องตามข่าวคุณทักษิณเป็นประจำ

อีกมุมหนึ่ง เพราะ “ทิม” มีข้อเขียนประจำในนิตยสารแพรว

ตอนที่เขาเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเอ็มไอที เขาเขียนเรื่องมาลงใน “แพรว”

เป็นประสบการณ์ที่เขาเรียนใน 2 มหาวิทยาลัยดังของโลก

มีทั้งเรื่องราวที่ได้เจอกับผู้นำทางการเมืองและธุรกิจ

ทั้ง “บิล คลินตัน-วอร์เรน บัฟเฟตต์” และอีกหลายคน

เรื่องเล่าของคนดังๆ เหล่านี้น่าสนใจมาก

ตอนที่อ่าน ผมรู้เลยว่า “ทิม” สนใจเรื่องการเมือง

เพราะมีการแทรกมุมคิดทางการเมืองออกมาเรื่อยๆ

โดยเฉพาะจุดยืนเรื่อง “ประชาธิปไตย”

เห็นข้อเขียนในครั้งนั้นแล้ว ทำให้ผมไม่แปลกใจว่าทำไมการอภิปรายในสภาของ “ทิม” จะคมคายมาก

คนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ

 

ผมติดตาม “ทิม-พิธา” มาเรื่อยๆ แบบคนสนใจเรื่องการเมือง

เขามีพัฒนาการที่น่าสนใจมาก

และมีหลายมุมที่นึกไม่ถึง

เช่น เรื่องดนตรี

ผมเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นนักดนตรีมาก่อน จากตอนที่เขาคุยกับศิลปินที่มายื่นหนังสือที่พรรคก้าวไกล

พูดกับนักดนตรีแบบคนรู้เรื่องดนตรี

ล่าสุด เพิ่งเห็นเรื่องที่เขาเคยตอบคำถาม “คนรุ่นใหม่” ใน IG Stories นานมาแล้ว

คมมาก

เช่น น้องคนหนึ่งจะสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ อยากขอคำแนะนำ

“ทิม” สอนน้องว่าทุกเรื่องเกี่ยวกับการเรียน ไม่ใช่แค่สอบชิงทุน ต้องถามตัวเองว่า “3 ทำไม”

1. ทำไมถึงอยากเรียน

2. ทำไมถึงเลือกที่นี่ (ประเทศและมหาวิทยาลัยนี้)

3. ทำไมต้องปีนี้ ทุนนี้

เวลาเขียน essay ก็เขียนเป็น 3 paragraph ตามเหตุผลเราเลยครับ

อดีตเราคืออะไร

อนาคตเราฝันเป็นอะไร

แล้วการศึกษาที่สถาบันนี้ ทุนนี้จะเป็นสะพานให้เราไปอนาคตเราได้อย่างไร

และเราจะสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้อย่างไร

อีกคนหนึ่งกำลังจะเรียนจบ BBA เธอถามว่าควรจะเริ่มทำงานกับบริษัทแบบไหนดี

“ทิม” ไม่ตอบว่าบริษัทแบบไหน

แต่เขาพูดถึง “เจ้านาย”

“เจ้านายคนแรกสำคัญที่สุด เอาคนที่ดุๆ แต่ยุติธรรม (tough but fair)”

น่าสนใจมาก

เพราะการเริ่มต้นงานใหม่ครั้งแรก ถ้าได้คนที่ดุ จะจี้ให้เราใช้พลังในการทำงานอย่างเต็มที่

ส่วน “ความยุติธรรม” น่าจะเป็น “ต้นแบบ” ให้เราเรียนรู้และเลียนแบบ

เผื่อว่าวันหนึ่งเราจะเป็น “เจ้านาย” บ้าง

เพราะเจ้านายที่ลูกน้องเคารพ ต้อง “ยุติธรรม”

อีกคำถามหนึ่ง “อยากลด EGO ของตัวเองต้องทำอย่างไรครับ”

ลองนึกว่าเราจะตอบอย่างไร

“ทิม” ตอบแบบนี้ครับ

“แค่ที่น้องถามผมอยู่นี้ก็ทำสำเร็จแล้วครับ

ยินดีด้วย”

 

“สิ่งที่ควรทำในช่วงอายุ 20-30 ปี มีคำแนะนำสำหรับการใช้ชีวิตให้คุ้มไหมคะ” เป็นคำถามคลาสสิคที่น้องคนหนึ่งถาม

“ผมเคยถามคำถามเดียวกันกับคุณลุงวอร์เรน บัฟเฟตต์

เขาแนะนำหลายอย่าง แต่ก็สรุปได้ด้วยคำสอนของท่านพุทธทาส

‘อยู่อย่างต่ำ การกระทำอย่างสูง’

อย่าใช้เงินซื้อความสุข เก็บเงินเยอะๆ ทำให้ตัวเรามีอิสรภาพจะได้ทำในสิ่งที่เรารักได้”

เป็นคำตอบของ “ทิม”

“บัฟเฟตต์” เป็นมหาเศรษฐีของโลกที่ใช้ชีวิตอย่างสมถะ

ใช้รถเก่าๆ บ้านเล็กๆ เดินทางด้วยเครื่องบินชั้นอิโคโนมี

แต่บริจาคเงินที่หามาได้จำนวนมหาศาลเพื่อสังคม

…อยู่อย่างต่ำ การกระทำอย่างสูง

คำถามเรื่อง “ความฝัน” ก็คลาสสิคสำหรับคนหนุ่ม-สาว

“เมื่อรู้ว่าความจริงไม่เหมือนที่ฝันและตั้งใจไว้ พี่ทิมจัดการกับมันยังไงคะ”

เขาตอบว่าให้ฝันใหม่ ตั้งใจใหม่

“ชีวิตเหมือนหนังสือ มีหลายตอน อย่าไปติดบทที่ดีเก่าๆ อย่าไปกลัวบทใหม่ที่ยังมาไม่ถึง”

ง่ายๆ แต่เปรียบเทียบชัดดี

“ทิม” เป็นคนอ่านหนังสือเยอะ

และไม่ใช่แค่เรื่องการบริหารธุรกิจหรือการเมืองที่เขาเรียนมา

เพราะเมื่อมีคนขอให้เขาแนะนำหนังสือสัก 3 เล่ม ภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้

หนังสือที่เขาแนะนำไม่ใช่หนังสือทั้ง 2 แบบ แต่เป็น

1. ทุกเล่มของมูราคามิ

2. กลอนของ rumi

และ 3. โจโฉ ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

rumi เป็นกวีชาวเปอร์เซีย ที่บทกวีความรักของเขาขายดีระดับโลก

ส่วน “มูราคามิ” นักเขียนวรรณกรรมญี่ปุ่นที่คนไทยชื่นชอบ

ส่วนอาจารย์คึกฤทธิ์ ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว

แต่ละเล่มแตกต่างกัน

และก็มาถึงคำถามน่ารักๆ

“สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนเรา คืออะไรครับ”

“ทิม” ตอบสั้นๆ

“To love and be love”

ครับ รัก และเป็นที่รัก

รักคนอื่นให้เป็น และเป็นที่รักของคนอื่นด้วย

อีกคำถามหนึ่ง

“ต่อสู้กับความเหงายังไงค่ะ”

เขาตอบสั้นๆ เหมือนเดิม

“ยอมรับกับมันครับ”

และที่น่ารักที่สุดสำหรับคำถามและคำตอบ

“ทำยังไงให้เลิกชอบเพื่อนดีคะ”

“บอกรักเขาครับ ได้เลิกเป็นเพื่อนแน่”