บิ๊กปั๊ดผุด ‘เชอร์ล็อก โฮมส์’ ยุค 5 จี ฟื้น ร.ร.นักสืบเจ๋งสุดประวัติศาสตร์ สอนหลักสูตร FBI-รุ่นเก๋าถ่ายทอด/โล่เงิน

ซ้ายสุด ผบ.ตร.

โล่เงิน

 

บิ๊กปั๊ดผุด ‘เชอร์ล็อก โฮมส์’ ยุค 5 จี

ฟื้น ร.ร.นักสืบเจ๋งสุดประวัติศาสตร์

สอนหลักสูตร FBI-รุ่นเก๋าถ่ายทอด

 

“นักสืบยุค 5 จี” เป็นไอเดียริเริ่มของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่มีแบนเนอร์นักสืบมือฉมัง ชื่อชั้นเป็นอาจารย์นักสืบอันดับต้นๆ ของไทย

“คิดมาตั้งแต่ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. แต่ไม่ได้ทำสักที เพราะติดเรื่องโควิด-19” ผบ.ตร.เกริ่นที่มาให้ฟัง

จากหลักสูตรสืบสวนคดีอาญาขั้นพิเศษ ปี 2539 ถูกนำกลับมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เป็นโปรเจ็กต์นักสืบยุค 5 จี มีบิ๊กปั๊ดเป็นหัวเรือใหญ่ พร้อมทีมงานนักสืบ อาทิ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผบก.สส.ภ.7 พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.ปส.3 ลูกศิษย์รุ่นแรกของบิ๊กปั๊ด ช่วยกันปรับปรุงร่างหลักสูตรนักสืบให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

วัตถุประสงค์หลักสูตร เพื่อยกระดับสร้างนักสืบรุ่นใหม่ เน้นการพัฒนาศักยภาพคนด้านการสืบสวนให้มีประสิทธิภาพเป็นมาตรฐานสากล และสร้างคุณธรรม ศีลธรรมในการทำงาน

โดยมีเป้าหมายการสืบสวนหาตัวคนร้าย และจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีรูปแบบสมัยใหม่

และที่สำคัญจะต้องมีหลักฐานให้ศาลพิจารณาลงโทษคนร้าย

เพื่อผลิตตำรวจชั้นสัญญาบัตรด้านการสืบสวน ให้มีองค์ความรู้ตามระบบงานสืบสวน เทคนิคการสืบสวนยุคใหม่ทางเทคโนโลยียุค 5 จี อาชญากรรมรูปแบบใหม่ คดีขบวนการยาเสพติด คดีการค้ามนุษย์ คดีก่อการร้าย นิติวิทยาศาสตร์

และสร้างให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมทราบถึงกระบวนการ ขั้นตอน เทคนิค และวิธีการสืบสวนคดีอาญาต่างๆ ในระดับสากลนำไปพัฒนาทักษะเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในภาคสนาม โดยเอาความรู้ที่ได้เป็น “ครูแม่แบบ” ไปถ่ายทอดให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงาน

และยังสร้างเครือข่ายการทำงานระหว่างกัน

 

มีรูปแบบดังนี้ คือ

1. ปัดฝุ่นต้นแบบโรงเรียนนักสืบดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำรวจ ปี 2539 สมัย พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์ อดีต ผบช.น. มอบหมาย พ.ต.ท.ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผกก.สืบสวน นครบาลเหนือ กับ พ.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผกก.ข่าว บช.น. สร้าง 30 ทายาทนักสืบ

2. นำข้อดีของการอบรมหลักสูตร Alets Thailand เช่น เทคนิคการสืบสวนยุคใหม่ หลักจิตวิทยาในการสืบสวน โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพร่างกายให้พร้อมปฏิบัติงานตามรูปแบบของการฝึกของหลักสูตร Federal Bureau of Investigation หรือ FBI

3. ฝึกยุทธวิธีตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักสากล เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างชำนาญ

4. การฝึกภาคปฏิบัติอย่างมีมาตรฐาน นำเทคโนโลยี นิติวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์มาใช้งาน โดยลงพื้นที่จริง ดูแลด้วยนักสืบรุ่นพี่ เป็นพี่เลี้ยงที่คัดเลือกตัวบุคคลอย่างดี

5. เข้มคุณธรรมนักสืบ จากอาจารย์นักสืบมีคุณภาพที่เกษียณอายุราชการ ถ่ายทอดประสบการณ์จริง เช่น พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี พล.ต.ต.ดร.โกสินทร์ หินเธาว์ เป็นต้น

6. ฝึกสมาธิในการทำงาน หลักสูตรเลือกศูนย์ปฏิบัติธรรม เพื่อเสริมสร้างสมาธิ ศีลธรรมแก่ผู้เข้ารับการอบรม

7. เข้มการคัดเลือกนักสืบเลือดใหม่เข้าอบรม 16 สัปดาห์ คัดเลือกตำรวจทั่วประเทศ 40 คน เริ่มตั้งแต่คัดเลือกคุณสมบัติผู้เข้ารับการอบรมเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตรต้องสมัครใจ, รับราชการตำรวจยศ ร.ต.ท.-ร.ต.อ. ปฏิบัติหน้าที่ในสายงานสืบสวนหรือทำงานสืบสวนไม่น้อยกว่า 1 ปี และเป็นผู้อายุไม่เกิน 40 ปี มีความประพฤติดี

8. คัดเลือกครูผู้สอนนักสืบอาจารย์ที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และอุดมการณ์ โดยเฉพาะทางศีลธรรมของนักสืบ

 

พ.ต.อ.ธีรเดช หนึ่งในทีมพัฒนาโครงการนักสืบยุค 5 จี ที่ครั้งนี้มีโอกาสมาร่วมเป็นคณะกรรมการสัมภาษณ์คัดเลือกรุ่นน้องด้วยตนเอง ย้อนความหลังไปเมื่อปี 2539 ว่า

เป็นลูกศิษย์โรงเรียนนักสืบรุ่นแรกอาจารย์ปั๊ด ก่อนไปเรียนมีตำแหน่งรอง สว.สอบสวน สน.นางเลิ้ง ฝึกอยู่ 6 เดือน จบออกมาปี 2540 ได้ย้ายไปทำงานสืบ เป็นรอง สว.สืบสวน กก.สส.บก.น.2 ก่อนจบจะมีขั้นตอนสร้างจิตสำนึกการเป็นนักสืบร่วมกัน

อย่างแรกคือการไปดื่มน้ำสาบานที่วัดพระแก้ว ผ่านความเป็นความตายร่วมกัน เรียกว่าด่านสิบแหลก เป็นด่านที่ทำให้ฝึกความอดทน ความสามัคคี ยกตัวอย่างการว่ายน้ำข้ามทะเล เพื่อสร้างจิตสำนึกความเป็นตำรวจให้มีความอดทน ให้มีความภูมิใจในการรับใช้ประชาชน

“จากนั้นฝึกงานสืบสวนหาตัวคนร้าย 3 คดี คดีวางระเบิดไอบีเอ็ม ท้องที่ สน.บางซื่อ คดีลอบวางระเบิดนายณรงค์ อุ่นแพทย์ หรือกลม บางกรวย ท้องที่ สน.ดินแดง และคดีแท็กซี่ฆ่า “มาซาโอะ” นักท่องเที่ยวสาวชาวญี่ปุ่น ท้องที่ สน.โคกคราม ความรู้สึกตอนเรียนจบเหมือนเป็นคนใหม่ ได้รับการชุบชีวิต เพราะแทนที่จะมาทำงานแล้วค่อยมีความรู้ แต่ประหยัดเวลาเป็น 10-15 ปี เนื่องจากหลักสูตรเป็นการอบรมที่ฝึกจบไปแล้วต้องไปทำงานให้สังคมจริงๆ เพราะฉะนั้น ต้องตั้งใจ ไม่ใช่อบรมเสร็จแล้วกลับไปทำงานที่เดิม” พ.ต.อ.ธีรเดชกล่าว

ผ่านมากว่า 25 ปี อาจารย์ปั๊ด นักสืบรุ่นประวัติศาสตร์ เล่าว่า ปี 2539 พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์ ผบช.น.ในขณะนั้น ริเริ่มโครงการหลักสูตรสืบสวนคดีอาญาขั้นพิเศษ มอบหมาย พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี และตนเอง คัดเลือกรอง สว. 30 คน มาฝึก อาทิ “นพ” (พล.ต.ต.นพศิลป์) “จ๋อ” (พ.ต.อ.ธีรเดช) เป็นต้น เป็นหลักสูตรที่ร่วมกันทำอยู่ 7-8 คน แต่ทำแล้วก็จบไปเลย ไม่มีอีก

ถามว่ามีโรงเรียนสืบสวนของ บช.ศ.อยู่แล้วทำไมทำใหม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า มันไม่เหมือนกัน หลักสูตรเดิม ฝึกคนเสร็จเอาไปไว้ตามกองสืบภาคต่างๆ แต่คนที่จบหลักสูตรจาก บช.ศ.กลับต้นสังกัดไป

ซ้ายสุด ผบ.ตร.

ผบ.ตร.กล่าวว่า นักสืบยุค 5 จี โหมดวิชาการคงไม่เหมือนสมัยเดิม เพราะโลกเปลี่ยนไปเยอะ

แต่เน้นว่าต้องเอา ผกก. รอง ผกก. มาควบคุมการฝึก ตั้งคณะทำงานขึ้นมาสัมภาษณ์ เฟ้นหาทั้ง 40 คนเข้ามา เน้นคอนเซ็ปต์เหมือนเดิม เรียนจบจะไม่ได้กลับต้นสังกัดเดิมแล้ว ต้องบอกเขาว่า หากมาต้องเปลี่ยนหน้าที่ จะหาที่ให้อยู่ การเรียนเป็นแค่เริ่มต้น ไม่ใช่จะเก่งเลย ต้องไปอยู่ในหน่วยงานที่จะเติบโตในสายอาชีพงานสืบสวน ไม่ใช่วิ่งเต้นมาเรียนหนังสือ กลับไปแล้วทำอะไรเหมือนเดิม ไม่ได้ประโยชน์ แต่หลักสูตรแบบนี้คงทำทุกปีไม่ได้ เพราะตำแหน่งรองรับคงไม่พอ

“เหมือนเราเพาะต้นอ่อนอะไรสักแปลง พอได้ต้นอ่อนเสร็จต้องแยกต้นไปปลูก เอาไปปลูกที่ไหน ไปปลูกในทะเลทราย มันจะรอดไหม มันก็ตายหมด ต้องหาว่าที่ไหนที่ไม่ใช่ทะเลทราย ที่จะอยู่ได้ และควรจะมี 4-5 คนต่อหน่วย ถ้าไปคนเดียวแบบนั้นโดนกลืนหมด” พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าว

การกลับมาของต้นแบบ “โรงเรียนนักสืบดีที่สุดในประวัติศาสตร์” เป็นความหวังดูแลความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างไร จะได้เห็นการพิสูจน์ฝีมือบิ๊กปั๊ด ผู้นำสีกากียุคนี้อย่างแน่นอน

ใต้ภาพ

ซ้ายสุด ผบ.ตร.