สรุป ‘คดีลุงพล’ เปิดหลักฐาน-พิรุธชี้ ลุงลักพา ‘น้องชมพู่’ ขึ้นเขา-ซ่อนเร้นอำพรางศพ

หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่คั้งแรก 04/06/2021

 

เป็นคดีมหากาพย์ที่สังคมให้ความสนใจ สำหรับกรณีน้องชมพู่ ด.ญ.วัย 3 ขวบที่เสียชีวิตปริศนาอยู่บนเขาเหล็กไฟ จ.มุกดาหาร เมื่อปี 2563

นำมาซึ่งความอลหม่านของคนในชุมชน อีกทั้งผู้ต้องสงสัยของคดี อย่าง “ลุงพล” กลายเป็นคนดังในช่วงข้ามคืน มีทั้งงานถ่ายแบบโฆษณา ร้องเพลง ทำรายได้มหาศาล

เป็นคนดังอยู่ในความสนใจของสังคม ท่ามกลางข้อสงสัยถึงความเหมาะสม

ในขณะที่คดีดำเนินไปอย่างช้าๆ แม้มีการสรุปเบื้องต้นว่าน้องชมพู่ไม่ได้ขึ้นไปบนเขาหินเหล็กไฟเอง

ต้องมีคนพาขึ้นไปจนพบกับความตาย แต่หลักฐานก็ยังสาวไม่ถึง

จนกระทั่งล่าสุดศาลมุกดาหารออกหมายจับ 3 ข้อหากับลุงพล หรือนายไชย์พล วิภา ระบุชัดเจนว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่

ขณะที่เจ้าตัวโร่เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิเสธข้อหาทั้งหมด ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ส่วนตำรวจเองก็ยืนยันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

พิสูจน์กันในชั้นศาล!??
หมายจับลุงพลคดีน้องชมพู่

หลังมีกระแสข่าวเจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยงถึงตัวคนร้ายที่พาน้องชมพู่ หรือ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา อายุ 3 ขวบ ออกจากบ้านพักในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร แล้วเสียชีวิตบนเขาหินเหล็กไฟ ห่างจากบ้านประมาณ 5 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563

ในที่สุดก็มีความคืบหน้า โดยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ศาลจังหวัดมุกดาหารอนุมัติหมายจับนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ เลขหมายจับที่ 53/2564 ใน 3 ข้อหา คือ

1. พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดา-มารดา โดยปราศจากเหตุอันควร

2. ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย

และ 3. กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

โดยหลักฐานในการออกหมายจับครั้งนี้คือหลักฐานบริเวณจุดพบศพ ได้แก่ กางเกง รองเท้า เส้นขน 3 เส้น ที่ตรวจดีเอ็นเอจนสามารถระบุได้แล้วว่าเป็นของใคร รวมถึงเส้นผมน้องชมพู่ที่ถูกสับ 36 เส้น และคำให้การของพยานแวดล้อมทั้งหมด และผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ชี้ชัดว่ามีความเชื่อมโยงกับลุงพล

ต่อมาช่วงสายวันที่ 2 มิถุนายน นายไชย์พล หรือลุงพล พร้อมป้าแต๋น นางสมพร หลาบโพธิ์ เดินทางมากับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ เพื่อขอมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยยื่นความจำนงขอมอบตัวกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.

โดยลุงพลกับป้าแต๋นเข้าไปยังอาคาร 1 ตร. แต่ก่อนที่จะทำเรื่องมอบตัว พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.ปส.3 ก็แสดงหมายจับ จับกุมตัวที่ห้องโถงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วส่งลงบันทึกประจำวันที่ สน.ปทุมวัน พร้อมปฏิเสธทั้ง 3 ข้อหา เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ส่งดำเนินคดีที่ สภ.กกตูม

ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์แถลงถึงเรื่องดังกล่าว ยืนยันพยานหลักฐานที่มี ทั้งจากหลักพฤติกรรมมนุษย์ ประจักษ์พยาน วัตถุพยาน หลักฐานวิทยาศาสตร์ นิติวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงไสยศาสตร์ ความเชื่อต่างๆ เพียงพอที่จะขอศาลอนุมัติหมายจับ พร้อมฝากถึงแม่น้องชมพู่ว่าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว

ปฏิเสธกรณีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเร่งดำเนินคดีในช่วงนี้เพื่อกลบข่าวการเมืองที่ร้อนแรง!??

พาขึ้นเขา-อำพรางศพ

ทั้งนี้ คดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปไทม์ไลน์การหายตัวไปของน้องชมพู่ ว่าเกิดหายตัวในช่วงเวลา 09.11-09.49 น. วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 มีเวลาก่อเหตุเพียง 38 นาที จากนั้นพบศพน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟ ในเวลา 19.00 น.

วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 สภาพถูกถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้เหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีดหรือของมีคม สับ ฟัน เถือ ตัด ที่เส้นผมของศพน้องชมพู่ โดยแพทย์สันนิษฐานว่าเสียชีวิตในช่วงวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2563 จากการขาดน้ำขาดอาหาร ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่พบบาดแผลที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้

ต่อมา พล.ต.อ.สุวัฒน์แถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 สรุปว่า น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบริเวณจุดพบศพได้ด้วยตนเอง แต่มีคนร้ายพาไป

เมื่อรวบรวมหลักฐานจนสมบูรณ์ ก็พบข้อเท็จจริง 3 ประเด็น ได้แก่

1. การกระทำของคนร้ายในคดีนี้ มีการพาเหยื่อไปทิ้งที่ไกลๆ เพื่อเป็นการอำพรางคดี ซึ่งเป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อ หากปล่อยให้เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ จะสามารถชี้ยืนยันตัวเองว่าเป็นผู้กระทำผิดดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องมีการอำพรางคดีเพื่อให้ความผิดพ้นตัว

2. ช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไปจากบริเวณจุดเกิดเหตุ พี่สาวของน้องชมพู่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องชมพู่เลย ทั้งที่อุปนิสัยของน้องชมพู่จะเป็นคนหวงตัว หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดจะร้องเสียงดังทันที

3. บริเวณจุดพบศพบนภูเหล็กไฟ พบรองเท้า รถแบ๊กโฮของเล่นตกอยู่ จึงยืนยันได้ว่าน้องชมพู่เต็มใจเดินไปกับคนร้าย มิฉะนั้นแล้ว ของเล่นหรือรองเท้าจะไม่ติดตัวน้องชมพู่ไปถึงจุดพบศพอย่างแน่นอน

ทั้ง 3 ประเด็นนี้ มีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า นายไชย์พลเป็นบุคคลที่พาตัวน้องชมพู่ไปจากบ้านที่เกิดเหตุเพื่อเดินทางไปรับ-ส่งพระด้วยกัน ระหว่างเดินทางไปนั้นได้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถพาน้องชมพู่ไปด้วยได้ จึงนำตัวน้องชมพู่ ซึ่งเชื่อว่าหมดสติ ไปซุกซ่อนไว้บริเวณป่าท้ายหมู่บ้าน แล้วจึงเดินทางไปรับพระ

เมื่อพบกับพระจึงเล่าเรื่องราวน้องชมพู่หายให้พระฟังในทันทีทันใด ทั้งที่ยังไม่มีผู้ใดทราบเหตุดังกล่าว เมื่อเสร็จธุระ นายไชย์พลจึงย้อนกลับมาพบว่าน้องชมพู่ยังไม่เสียชีวิต จึงนำตัวน้องชมพู่ขึ้นไปทิ้งไว้บนภูเหล็กไฟ จนกระทั่งน้องชมพู่เสียชีวิต จากการขาดน้ำ และขาดอาหารในเวลาต่อมา

จากนั้นได้เข้าจัดการกับสภาพศพโดยถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้มีลักษณะเหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีด หรือของมีคมด้านเดียว สับ ฟัน เถือ ตัด ไปที่บริเวณเส้นผมของศพน้องชมพู่ นำไปประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ตามความเชื่อของตน

 

เป็นการปิดบังความผิดนั่นเอง
เปิดหลักฐาน-ข้อพิรุธมัด

สําหรับสาเหตุที่ทำให้น้องชมพู่ถึงแก่ชีวิตนั้น เชื่อว่ามาจากพฤติกรรมที่เป็นคนโมโหร้าย โดยเฉพาะกับเด็ก มักเป็นคนขี้รำคาญหากเด็กร้องงอแงหรือไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งพบว่ามีกรณีตัวอย่างเกิดกับเด็กรายอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ต้องหา มักถูกดุด่าและเฆี่ยนตีบ่อยๆ

สำหรับกรณีน้องชมพู่นั้น เชื่อว่าในวันเกิดเหตุผู้ต้องหามาพบน้องชมพู่ที่บ้านแล้วชักชวนออกไปเที่ยวเล่น ระหว่างทางเมื่อไปถึงบริเวณป่าที่ห่างออกไปจากบ้าน 900 เมตร คาดว่าน้องชมพู่จะร้องไห้ตกใจ เนื่องจากเป็นเด็กที่กลัวป่า ทำให้ผู้ต้องหาโมโห อาจดุด่าทำร้ายน้องชมพู่อย่างพลั้งเผลอ

โดยผลการตรวจพิสูจน์ของแพทย์นิติเวช พบร่องรอยชี้ว่าเด็กร้องไห้ตกใจมาก และเป็นไปได้ที่จะถูกอุดปาก คาดว่าคงใช้มือปิดปากจนเด็กแน่นิ่งไป แล้วจึงนำร่างนั้นไปทิ้งไว้ภายในป่า สอดรับกับการที่สุนัขดมกลิ่นของตำรวจได้พบกลิ่นของน้องชมพู่ที่ป่าห่างจากบริเวณบ้านประมาณ 900 เมตรดังกล่าว

คาดว่าภายหลังลุงพลน่าจะย้อนกลับมาบริเวณที่ทิ้งร่างเด็กเอาไว้ แต่ไม่พบเด็ก เนื่องจากน้องชมพู่ยังไม่เสียชีวิต สอดรับกับการตรวจพิสูจน์ที่พบว่า น้องชมพู่มีรอยช้ำที่ฝ่าเท้า น่าจะเกิดจากการเดินเท้าเป็นระยะทางไกล

เป็นไปได้มากว่าเมื่อน้องชมพู่ฟื้น ก็พยายามเดินจนหลงเข้าไปในป่า และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สำหรับหลักฐานชิ้นสำคัญ ได้แก่ ผลการเก็บพยานหลักฐานภายในรถของลุงพล ที่ตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์จนมั่นใจว่าเป็นชิ้นส่วนที่มาจากศพของน้องชมพู่

นอกจากนี้ เส้นผมที่ถูกหั่นหรือตัด ในบริเวณที่พบศพของน้องชมพู่ พบว่ามีบางเส้นที่เป็นของคนใกล้ชิดลุงพล ที่ติดตัวลุงพลขึ้นไปนั่นเอง

ทั้งนี้ ฝ่ายสืบสวนพบพิรุธของลุงพลตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่การที่อ้างว่ารู้การหายตัวไปของน้องชมพู่ก่อนคนอื่น เพราะป้าแต๋นโทร.บอก แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์ของลุงพลนำไปขายก่อนหน้านี้ แล้วใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวกับป้าแต๋น จึงเป็นไปไม่ได้ว่าป้าแต๋นจะโทร.บอก และเมื่อสอบถามอีกครั้งก็อ้างว่าจำไม่ได้ จึงเป็นข้อสงสัยที่ทำให้เจ้าหน้าที่จับตามอง

จนมีหลักฐานชัดเจนออกหมายจับมาดำเนินคดี!??

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศาลสั่งจำคุก ‘ลุงพล’ 20 ปี ผิด 2 ข้อหาคดีฆ่าน้องชมพู่ ยกฟ้องป้าแต๋น