‘ฝ่ายค้าน’ เปิดยุทธศาสตร์ แยกกันเดิน ร่วมกันตี ชำแหละงบฯ ’65 ในยุคโควิด พร้อมเงินกู้ใหม่ 7 แสนล้าน/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘ฝ่ายค้าน’ เปิดยุทธศาสตร์

แยกกันเดิน ร่วมกันตี

ชำแหละงบฯ ’65 ในยุคโควิด

พร้อมเงินกู้ใหม่ 7 แสนล้าน

 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดส่งผลกระทบกับคนไทยในทุกมิติ ทุกระดับ และทุกคนในวงกว้าง

ประชาชนคาดหวังการแก้ปัญหาจากรัฐบาล เพื่อให้พวกเขาสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้

งบประมาณ และการช่วยเหลือเยียวยา จึงถือเป็นทางออกที่สำคัญทางหนึ่งของวิกฤตขณะนี้

เพราะหากรัฐบาลสามารถใช้เม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์ได้อย่างคุ้มค่า และตรงเป้า ความเดือดร้อนต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นจะสามารถบรรเทาเบาบางลงได้

วันนี้ ร่างพระราชบัญญัติ (ร่าง พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.ทุกคน

ไม่ว่าฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล หวังใช้ช่องทางสภาในการสะท้อนปัญหา และเสนอแนะการจัดทำงบประมาณไปยังผู้มีอำนาจในรัฐบาล

เพราะจากตัวร่างที่มีในมือแต่ละคน ยังเห็นปัญหาในการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลอยู่หลายด้าน

โดยเฉพาะ ‘ฝ่ายค้าน’ ที่เอาจริงเอาจังกับการทำหน้าที่ ‘ตรวจสอบ’ การใช้งบประมาณของฟากรัฐบาลอย่างเข้มข้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้งบประมาณในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญสภาวะวิกฤตเช่นนี้

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับการทำงานของ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ในการชำแหละงบประมาณปี 2565 นั้น อยู่ในระหว่างที่แต่ละพรรคกำลังอ่านงบฯ และรวบรวมข้อมูล รวมถึงจัดวางตัวผู้อภิปรายในส่วนของพรรคตนเอง ก่อนจะประสานงานกันอีกครั้งในวันที่สภาเปิดเพื่อกำหนดเวลาในการอภิปรายร่วมกัน

เพราะเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด ทำให้ฝ่ายค้านไม่สามารถประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ชำแหละงบประมาณ 2565 ร่วมกันได้อย่างเต็มรูปแบบ

ดังนั้น ยุทธศาสตร์การอภิปรายงบประมาณปีนี้ของฝ่ายค้านจึงจะมาในรูปแบบ “แยกกันเดิน” แต่ “ร่วมกันตีรัฐบาล”

พี่ใหญ่ฝ่ายค้านอย่าง “เพื่อไทย” ได้ข่าวว่า พร้อมแล้วสำหรับการอภิปรายงบประมาณปี 2565

โดยภายในพรรคได้มีการประชุมพูดคุยและหารือกันผ่านช่องทางต่างๆ อยู่หลายครั้ง

จนสามารถกำหนดตัวขุนพลที่จะขึ้นเวทีอภิปรายได้แล้วที่ 40-50 คน

โดยกรอบการอภิปรายจะเน้นไปที่ภาพใหญ่ของประเทศ แต่เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีแต่ ส.ส.เขต จึงมีความยึดโยงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่สูงมาก

ดังนั้น ในการอภิปรายจึงจะต้องแตะในส่วนงบประมาณจังหวัดบ้าง แต่คงไม่มากเท่าปีก่อนๆ ที่ผ่านมา

เพราะวันนี้ปัญหาใหญ่อยู่ที่การแก้ปัญหาระดับมหภาคมากกว่า

 

ขณะที่รุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง “พรรคก้าวไกล” ก็มีการเตรียมข้อมูลเพื่ออภิปรายชำแหละงบฯ อย่างเข้มข้นเช่นกัน โดยเรื่องหลักๆ ที่จะอภิปรายเป็นการบริหารงบประมาณของกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการระบาดของโควิด-19

โดยเฉพาะงบฯ ของกระทรวงสาธารณสุขว่าจะมีความมั่นใจได้อย่างไรในเรื่องของวัคซีนรุ่นที่ 2 และการรับมือของเชื้อที่อาจจะกลายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และคงต้องดูในเรื่องของการจัดการด้านงบประมาณที่เกี่ยวข้องของระบบสาธารณสุข และงบประมาณหลายหน่วยงาน อย่างกระทรวงศึกษาธิการด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ใช้นโยบายให้นักเรียน นักศึกษา เรียนออนไลน์ แต่สื่อที่ใช้ในการเรียนออนไลน์มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพหรือไม่ และการรับมือป้องกันโควิด-19 ในโรงเรียนต่างๆ เพียงพอหรือไม่ รวมถึงวัคซีนที่จะฉีดในผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี รัฐบาลได้เตรียมจัดหาหรือไม่ด้วย

นอกจากนี้ ที่ ‘ก้าวไกล’ ไม่พลาดแน่ คืองบประมาณของกระทรวงกลาโหม ที่ดูจะมีจำนวนมาก และปรับลดลงน้อยกว่าที่ควรจะเป็นในสถานการณ์เช่นนี้

 

วันนี้ มีงบประมาณหลายด้านที่น่าจับตามอง จากการสอบถามข้อมูลจาก “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย พบว่า งบประมาณ 2565 ที่น่าจะถูกจับขึ้นเขียงชำแหละที่สุด แบ่งได้หลายประเด็น เช่น

1. การตั้งเป้าเก็บภาษีเงินได้ที่ 2.4 ล้านล้าน บนสมมุติฐาน GDP โต 4-5% ในปี 2565 ที่เป็นไปได้ยาก

2. การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลเต็มเพดานแล้ว ถ้าเก็บภาษีไม่เข้าเป้า จะกู้มาโปะเพิ่มไม่ได้ ต้องตัดโครงการทิ้งเท่านั้น ซึ่งฝ่ายค้านเห็นว่าโครงการหรืองบประมาณที่ต้องตัดทิ้งเป็นลำดับต้นๆ เช่น งบฯ ตามแผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศสูงถึง 62,974 ล้านบาท แผนงานยุทธศาสตร์รักษาความสงบภายในประเทศมากถึง 21,674 ล้านบาท ตรงนี้รวมๆ เกือบแสนล้าน ซึ่งไม่จำเป็นเลยในช่วงนี้

3. ยุทธศาสตร์ 6 ด้านในการจัดทำงบประมาณ ไม่มียุทธศาสตร์โควิดแยกเฉพาะ

4. ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 จัดทำงบฯ ขาดดุลกว่า 7 แสนล้านบาท แซงหน้ารายจ่ายลงทุนที่มีอยู่ประมาณ 624,399 ล้านบาท ตรงนี้ ขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 20(1)

5. หนี้สาธารณะต่อ GDP จริงๆ ชน 60% ไปแล้ว (หนี้สาธารณะถูกประเมินว่าจะอยู่ที่ 56-57% ณ กันยายน 2564 รวมผลกระทบจากโควิดระลอก 2 แล้ว ตัวเลขนี้ยังไม่รวม ซึ่งผลกระทบจากระลอกที่ 3 ประมาณ -1.5% ของ GDP หรือความเสียหาย 240,000 ล้านบาท ไหนจะที่ต้องกู้เพื่อชดเชยขาดดุลปี 2565 (700,000 ล้าน)

การกู้รอบใหม่ตาม พ.ร.ก.อีก 700,000 ล้าน ที่มีรายละเอียดแจ่มชัด และนำเข้าคณะรัฐมนตรีอย่างปิดลับ ไม่มีการแถลงว่าจะใช้เงินคุ้มค่าหรือไม่, GDP พลาดเป้าที่ตั้งไว้ตามสมมุติฐานอีก

6. เป้าหมายที่ต้องจับตามองเรื่องงบฯ 2565 จะเกี่ยวข้องกับกระทรวงหรือหน่วยรับงบประมาณที่ควรให้ความสำคัญจากวิกฤตโควิด แต่กลับถูกละเลย

เช่น กระทรวงแรงงาน ต้องรองรับคนตกงานจำนวนมาก ธปท.คาดปลายปี 2565 มีคนตกงาน 2.5 ล้านคน ยังไม่รวมคนเสมือนว่างงาน รายจ่ายด้านสวัสดิการ ที่เหมือนเป็นตาข่ายรองรับประชาชนที่กำลังทุกข์ยาก ทั้งด้านประกันสังคม ผู้สูงอายุ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เหล่านี้ต้องให้ความสำคัญมากๆ แต่กลับถูกตัด

ด้านสาธารณสุข ระลอก 3 ทำให้เราเห็นแล้วว่าระบบสาธารณสุขเราล้มเหลว รับมือโควิดไม่ไหว การจัดสรรงบฯ ด้านสาธารณสุขต้องให้ความสำคัญ

การศึกษา รวมๆ แล้วเด็กต้องหยุดเรียนไปเป็นครึ่งค่อนปี ต้องฟื้นฟูกันครั้งใหญ่ ต้องมีงบประมาณที่เพียงพอ และพุ่งไปตรงจุด โดยเฉพาะเด็กปฐมวัย และที่สำคัญที่สุดคือ งบฯ ด้านความมั่นคง ที่เมื่อเอาไปเทียบกับงบฯ ด้านสาธารณสุข หรืองบฯ ด้านความสามารถในการแข่งขัน จะเห็นว่างบฯ ด้านความมั่นคงถูกจัดสรรให้มากกว่าเป็นสิบๆ เท่า

นี่เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มสำหรับศึกซักฟอกงบประมาณ 2565 ที่จะเข้าสภาเป็นเรื่องแรก

 

จากนั้น หลังจากจบศึกซักฟอกงบประมาณ ‘ฝ่ายค้าน’ ได้เตรียมจัดทัพรอไว้เพื่อทำศึกอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติต่อทันที ได้ยินมาว่า เนื้อหาที่จะใช้ถล่มฟากรัฐบาลนั้นมีความเผ็ดร้อน และดุดัน เพราะมีปัญหาหลายอย่างสั่งสมมาตลอดหลายเดือนจากการบริหารงาน และบริหารจัดการกับสถานการณ์โควิดของรัฐบาล ทำให้ประชาชนเดือดร้อนหนัก และประเทศสูญเสียโอกาสหลายด้าน

“หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ถึงขนาดเสนอว่า เมื่อรัฐบาลผิดพลาดขนาดนี้แล้ว ฝ่ายค้านน่าจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไปเลย แต่ความเห็นจากสมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้านหลายพรรคมองว่า ยังมีเวลาที่จะรอดูการทำงานของรัฐบาลภายหลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 ผ่านความเห็นชอบจากสภา หากเกิดความผิดพลาดจากการบริหารราชการแผ่นดินขึ้นอีกค่อยรวบรวมข้อมูลมาอภิปรายไม่ไว้วางใจรวบยอดทีเดียวก็ยังไม่สาย ทั้งจะทำให้มีข้อมูลที่หนักแน่น มัดตัวรัฐบาลให้ดิ้นไม่หลุดเพราะจำนนด้วยหลักฐาน

ฝ่ายค้านรัวหมัดไม่ยั้งใส่ทุกทาง รัฐบาลต้องงัดผลงานมาเป็นการ์ดให้ดี…