ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
‘สหรัฐ’ หนุนเปิดเสรีสิทธิบัตรวัคซีน
‘จริงใจ’ หรือแค่ ‘กลยุทธ์’
ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตโรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก วิกฤตที่ทำให้ผู้คนล้มป่วย เสียชีวิต เป็นจำนวนมาก มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดขนานใหญ่แลกมาด้วยวิกฤตเศรษฐกิจไปทั่วทุกมุมโลก
แต่สิ่งหนึ่งที่ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าเป็น “กระสุนเงิน” ที่จะนำโลกกลับสู่ “ภาวะปกติ” ได้ก็คือการฉีด “วัคซีน” ให้ครอบคลุมประชากรของโลกให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” หยุดยั้งการแพร่ระบาดได้ในที่สุด
นั่นนำไปสู่ความต้องการวัคซีนที่เพิ่มสูงขึ้นถึงขั้น “ผลิตไม่ทัน” เกิดความเหลื่อมล้ำของอัตราการได้รับวัคซีนระหว่าง “ประเทศร่ำรวย” และ “ประเทศยากจน”
นำไปสู่การถกเถียงกันในระดับประชาคมโลกถึงวิธีการในการกระตุ้นกำลังการผลิตรวมไปถึงการเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม
ล่าสุดเกิดประเด็นถกเถียงในระดับนานาชาติขึ้นเมื่อสหรัฐอเมริกา ชาติที่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญาอันดับต้นๆ ของโลก ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะออกมาประกาศสนับสนุนแนวคิด “เปิดเสรีสิทธิบัตรวัคซีน” เพื่อเปิดโอกาสให้ทั่วโลกสามารถนำไปผลิตวัคซีนโควิด-19 สำหรับประเทศตนเองได้ ขณะที่อีกหลายๆ ประเทศคัดค้านแนวคิดดังกล่าว
ข้อเสนอ “เปิดเสรีสิทธิบัตรวัคซีนโควิด-19 และสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นการชั่วคราว” เดิมเป็นข้อเสนอของ “อินเดีย” และ “แอฟริกาใต้” ที่หยิบยกขึ้นมาหารือในเวที “องค์การการค้าโลก” หรือดับเบิลยูทีโอ ตั้งแต่เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา
ทั้งสองชาติให้เหตุผลว่า แม้นวัตกรรมต่างๆ ที่รวมไปถึงยารักษาโรค และวัคซีน จะเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ควรได้รับการคุ้มครองในทางกฎหมาย
แต่ในช่วงเวลาวิกฤตระดับโลกแล้วการกระจาย “สูตรปรุงวัคซีน” ที่สามารถช่วยชีวิตคนได้ออกไปให้ได้มากที่สุดเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุด
ในช่วงแรกข้อเสนอดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านทันที จากบริษัทผู้ผลิตวัคซีน รวมไปถึงชาติตะวันตกอย่างสหภาพยุโรป อังกฤษ รวมไปถึงสหรัฐอเมริกาเอง เนื่องด้วยข้อเสนอดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับรายได้ของบริษัทผู้ผลิต ที่ใช้ต้นทุนมหาศาลไปกับการวิจัยและพัฒนา และการเปิดเสรีเองก็จะเป็นการขัดขวางพัฒนาการของนวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคต
นอกจากนั้นแล้ว บริษัทผู้ผลิตโดยเฉพาะไฟเซอร์ ออกมาโต้แย้งข้อเสนอดังกล่าว ระบุว่า การ “เปิดเสรีสิทธิบัตร” นั้นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา โดยเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนกับการ “ยื่นสูตรอาหารให้โดยไม่มีวัตถุดิบและวิธีการทำที่ถูกต้อง”
นอกจากนั้น ยังอาจส่งผลให้เกิดปัญหาคอขวดในการแย่งชิงวัตถุดิบสำหรับการผลิตที่เวลานี้มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยอีกด้วย
ข้อโต้แย้งนั้นดูสมเหตุสมผลโดยเฉพาะเมื่อมองไปถึงวัคซีนโควิด-19 เทคโนโลยีใหม่อย่าง mRNA ของ “ไฟเซอร์-บิออนเทค” และ “โมเดอร์นา” วิธีการที่มีคนเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่มีองค์ความรู้ในการผลิตวัคซีนชนิดนี้
“บริษัทบิออนเทค” บริษัทเยอรมนีที่ร่วมทุนกับ “ไฟเซอร์” บริษัทอเมริกันในการผลิตวัคซีนโควิด-19 เปิดเผยว่า การพัฒนากระบวนการผลิตวัคซีนชนิด mRNA นั้นใช้เวลานานนับสิบปี ขณะที่การตั้งโรงงานผลิตอย่างถูกต้องนั้นก็ต้องใช้เวลานานนับปี ขณะที่วัตถุดิบในการผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัดก็เป็นปัญหาเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลด้วยว่าหากมีการเปิดเสรีโดยปราศจากความรู้ในกระบวนการผลิตที่ถูกต้องแม่นยำ อาจนำไปสู่ปัญหาวัคซีนไม่มีคุณภาพ ไม่ปลอดภัย ไม่มีประสิทธิภาพ หรืออาจนำไปสู่ปัญหาวัคซีนปลอมก็เป็นได้
ด้านอียูเองมองว่ายังคงมีทางเลือกอื่นๆ ในการกระจายวัคซีนไปอย่างทั่วถึง เช่น การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานให้ดีขึ้น รวมถึงการกดดันให้ชาติร่ำรวยส่งออกวัคซีนให้มากขึ้น
ขณะที่อังกฤษ ผู้ที่ร่วมบริจาครายใหญ่ของ “โครงการโคแว็กซ์” โครงการส่งมอบวัคซีนให้ประเทศยากจนขององค์การอนามัยโลก สนับสนุนให้มีความร่วมมือแบบออกใบอนุญาตตามความสมัครใจ อย่างที่เกิดขึ้นระหว่าง สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย และออกซ์ฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า ที่ร่วมกันผลิตวัคซีน และเสนอให้ดับเบิลยูทีโอสนับสนุนความร่วมมือลักษณะนี้ให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาที่เดิมคัดค้านการเปิดเสรีก่อนกลับลำมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็ได้รับเสียงสนับสนุนเช่นกันไม่ว่าจะเป็นนายทีดรอส อัดฮานอม กีเบรเยซุส เลขาธิการองค์การอนามัยโลก ที่กล่าวถึงย่างก้าวของสหรัฐในครั้งนี้ว่า เป็นเรื่อง “น่ายกย่องที่ควรต้องถูกจารึกเอาไว้”
ไม่เว้นแม้แต่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่ออกมาสนับสนุนการเปิดเสรีสิทธิบัตรวัคซีน
“โลกกำลังติดเชื้อไวรัสปัจเจกชนนิยม ไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ก็คล้ายกับลัทธิชาตินิยม ที่ขัดขวางวัคซีนที่จะเป็นความร่วมมือกันระหว่างประเทศ” สมเด็จพระสันตะปาปาระบุ
ขณะที่ในอังกฤษเอง กลุ่มนักวิชาการ นักการเมือง องค์กรการกุศล รวมถึงกลุ่มผู้นำทางศาสนาก็ออกมาเรียกร้องให้บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกมาสนับสนุนการเปิดเสรีสิทธิบัตรวัคซีนด้วยเช่นกัน
การแสดงจุดยืนของสหรัฐกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
แต่ย่างก้าวนี้ของสหรัฐก็ถูกมองเช่นกันว่าอาจเป็นกลยุทธ์ในการกดดันให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนยักษ์ใหญ่เร่งเพิ่มกำลังการผลิต หรือยอมให้ความร่วมมือกับภาครัฐมากขึ้น เนื่องจากการประกาศสนับสนุนการเปิดเสรีสิทธิบัตรวัคซีนของไบเดนนั้น มีขึ้นหลังจากตัวแทนการค้าสหรัฐร่วมหารือกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนเพื่อกระตุ้นการผลิตเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
จากนี้คงต้องจับตามองการหารือกันในเวทีดับเบิลยูทีโอเกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าวกันต่อไป เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากชาติสมาชิกส่วนใหญ่
โดยหากข้อเสนอดังกล่าวตกไป อย่างน้อยๆ ก็อาจมีความหวังว่าจะนำไปสู่หนทางประนีประนอมในการเพิ่มกำลังการผลิตและกระจายวัคซีนไปทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วได้ในที่สุด