กวีนิพนธ์ของมุฮัมมัด อิกบาล (6) / มุมมุสลิม จรัญ มะลูลีม

จรัญ มะลูลีม

มุมมุสลิม

จรัญ มะลูลีม

 

กวีนิพนธ์ของมุฮัมมัด อิกบาล (6)

 

คำร้องทุกข์

อิกบาลได้ท่องบทกวี “คำร้องทุกข์” นี้เป็นครั้งแรกในปี 1909 ในที่ประชุมอันยุมันฮิมายะติอิสลามในเมืองลาฮอร์ มันก่อให้เกิดความตื่นเต้นครั้งใหญ่ นับตั้งแต่นั้นมาบทกวีนี้ก็ได้คงความเป็นบทกวีเชิงโต้ที่รุนแรงที่สุดของเขา ได้รับการนิยมยกย่องมาจากผู้นิยมเขาเท่าๆ กับได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่นๆ

ถึงแม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สงวนปากคำในการที่จะเอ่ยถึงคุณภาพด้านกวีของมัน แต่ก็มีคนมากมายที่แสดงความกังขาในเนื้อหาของกวีเช่นกัน

ในขณะที่สดุดีความสำเร็จของบรรดานักรบมุสลิมและบทบาทในด้านอารยธรรมของอิสลาม อิกบาลก็ได้แสดงความดูหมิ่นผู้มิใช่มุสลิมออกมาอย่างไม่ใคร่จะปิดบังนัก โดยเฉพาะชาวฮินดู

อาจถือว่าบทกวี “คำร้องทุกข์” นี่ก็คือคำประกาศครั้งแรกถึงทฤษฎีเรื่องสองชาติ ซึ่งภายหลังได้รับการขยายความให้ละเอียดโดยเซาดรี เราะหฺมัด อะลี และได้รับการยอมรับว่าเป็นขั้นมูลฐานของรากฐานของความคิดที่จะแยกรัฐออกไปสำหรับชาวมุสลิม (ปากีสถาน) โดยมุฮัมมัด อะลี จินนาฮฺ

ตอนที่บทกวีนี้รับการจัดพิมพ์ขึ้นนั้นบรรดาชาวมุสลิม หัวเก่าก็ได้คัดค้านการใช้คำศัพท์บางคำของอิกบาลด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะการใช้คำว่าฮัร จาอี (ไม่ซื่อสัตย์) สำหรับพระผู้เป็นเจ้า

อิกบาลรู้สึกถึงการต่อต้านนี้อย่างชัดเจน อีกสี่ปีต่อมาเขาจึงได้ประพันธ์บทกวีที่ชื่อว่า ญะวาบีชักวา สมมุติว่าเป็นคำตอบของอัลลอฮฺต่อคำร้องทุกข์ของเขา

 

แนวของบทกวีเรื่อง คำร้องทุกข์ ก็คือคำร้องทุกข์ของผู้ประพันธ์ต่ออัลลอฮฺในเรื่องที่ว่าพระองค์ไม่ทรงยุติธรรมต่อชุมชนมุสลิม หลังจากที่ได้กล่าวคำขออภัยโทษ (ตอนที่ 1 และ 2) ในการที่เขาหาญกล่าวถึงอัลลอฮฺโดยไม่เกรงกลัวแล้ว อิกบาลก็ได้ประท้วงต่อไปว่า หากไม่ได้ชาวมุสลิมแล้ว คำสอนเรื่องเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้าก็คงจะไม่กระจายไปในโลกดอก (ตอนที่ 3) และการสักการะรูปเจว็ดและต้นไม้ก็คงจะยังเจริญรุ่งเรืองต่อไป และเผ่าพันธุ์ศาสนาต่างๆ ก็จะยังคงเป็นอยู่อย่างเดิมอย่างนั้น (ตอนที่ 4 และ 5) ก็มุสลิมนั้นเองที่ได้นำเอาดาบที่พิชิตทั่วของอิสลามข้ามทะเลทรายแอฟริกาไปถึงยุโรป

(6) พวกเขามิได้ทำดังนั้นเพื่อที่จะรับความมั่งคั่งหรือดินแดนอาณาเขตแต่เพื่อจะทำให้พระนามของพระผู้เป็นเจ้ารุ่งโรจน์เท่านั้น (7) พวกเขาต้องต่อสู้กับความลำบากยากเข็ญต่างๆ นานา (8) ต้องนำเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากอิหร่านไปยังโรม

(9) จะมีคนอื่นในโลกบ้างไหมนอกจากมุสลิมที่ยอมขายชีวิตมิใช่เพื่อสิ่งใดนอกจากเพื่อส่งเสริมความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า

(10) อะไรเล่าจะเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเสียสละอุทิศของพวกเขามากไปกว่าข้อเท็จจริงที่ว่าแม้แต่ในท่ามกลางการต่อสู้ในสงครามมุสลิมก็ยังได้วางอาวุธและผินหน้าไปยังนครมักกะฮฺเมื่อถึงเวลานมัสการเพราะความมีใจเดียวอุทิศตนต่อพระผู้เป็นเจ้านี่เองที่ทำให้พวกเขาสามารถขยายการพิชิตของเขาออกไปสุดเขตโลกอันไกลโพ้นเท่าที่พวกเขาจะรู้จัก

อิกบาลได้ยืนยันว่ามุสลิมเป็นผู้ที่ปลดปล่อยมนุษยชาติออกจากความเป็นทาส รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกะอฺบะฮฺสถานที่ยึดมั่นอยู่ในคำบัญชาในพระมหาคัมภีร์กุรอาน ถ้าพวกเขาจะถูกกล่าวหาว่าไร้ศรัทธาแล้ว อัลลอฮฺจะไม่ซื่อสัตย์ต่อพวกเขาดอกหรือ (13)?

อิกบาลคร่ำครวญถึงการเสื่อมอำนาจของมุสลิมและด่าว่าเหน็บแนมที่บรรดาผู้เกลียดชังมุสลิมพากันเหวี่ยงมาให้เขา (14 และ 15) เขามิได้เดือดร้อนอะไรนักดอกในข้อที่ว่าในขณะที่พวกนอกศาสนากำลังได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิตอยู่ แต่เขารู้สึกน้อยใจในความจริงที่ว่าในขณะที่พวกนอกศาสนาได้รับทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้และเดี๋ยวนี้ มุสลิมกลับได้รับคำสัญญาว่าจะได้รับผลรางวัลหลังจากสิ้นชีวิตไปแล้ว

(16) อิกบาลสงสัยว่าเหตุใดในเมื่อความอุดมสมบูรณ์ของอัลลอฮฺไม่มีเขตจำกัดมุสลิมจึงยังเป็นคนยากจนอยู่ (17) หรือว่าเหตุใดอัลลอฮฺจึงได้ประทานความโปรดปรานแก่ผู้คนที่ไม่มีศรัทธาในพระองค์

(18) ถึงแม้ว่ามุสลิมจะไม่ได้มีใครเห็นสภาพของพระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไปก็ตาม (19) (20) จะกล่าวได้หรือว่ามุสลิมได้ละลืมคำสั่งสอนของศาสดาเสียแล้วหรือได้ละทิ้งขนบประเพณีที่ท่านศาสดาได้เริ่มไว้และถลำเข้าไปในการสักการบูชารูปเจว็ด (21)?

ความรักที่มุสลิมมีต่ออัลลอฮฺนั้นอาจจะไม่เหมือนกับที่เป็นอยู่ในวันวานที่ผ่านไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลพอเพียงที่พระองค์จะทรงทอดทิ้งพวกเขาและหันไปหาผู้แปลกหน้า

(22) พวกเขายังคงถูกสร้างด้วยธาตุที่สามารถจุดให้ลุกเป็นไฟได้โดยเปลวไฟนิรันดรอยู่ (23) เพียงแต่หากพระผู้เป็นเจ้าจะทรงเบนสายตาอันเมตตาการุณมาสู่พวกเขาเท่านั้น

อารมณ์ความรู้สึกอันรุนแรงอย่างเดิมก็จะถูกจุดขึ้นใหม่ได้ (24) แต่เท่าที่เป็นอยู่นั้นบรรดาคนแปลกหน้ามีโลกอุทยานเป็นของพวกเขาในขณะที่มุสลิมนั่งอยู่อย่างเศร้าสร้อยเฝ้ารอให้พระองค์เสด็จมา (25) พวกเขาเป็นเหมือนบุปผาที่เหี่ยวเฉาแล้วแต่ก็อาจเบ่งบานได้อีก พวกเขาเป็นเหมือนดังนบีมูซาที่กำลังเฝ้ารอแสงสว่างบนภูเขาซีนาย (26)

ครั้นแล้วอิกบาลก็ได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงปลดเปลื้องภาระออกจากมุสลิมให้เบาบางลง ขอให้พระองค์ได้เชิดชูพวกเขาให้สูงส่งอีกครั้งหนึ่งและปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากรอยมลทินของการนับถือเจว็ด (27) อุทยานแห่งอิสลามกำลังเต็มไปด้วยพงหนามรกชัฏ มีแต่นกไนติงเกลตัวเดียว (คือกวีเอง) ที่ขับขานเพลงอยูจนหลงอยู่ในความปีติของเสียงเพลงของมันเอง

(28) ในขณะที่นกตัวอื่นได้โผผินบินจากไปแล้ว และบรรดาพฤกษาก็สลัดใบร่วงหล่นลง กวีก็ยังคงทนทานต่อความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล อนิจจาเอ๋ย! หากจะมีใครสักคนมาสดับฟังเสียงเพลงของเขาบ้างก็คงจะดี

(29) ไม่มีความปีติในการมีชีวิตอยู่เลยนอกจากจะเคี้ยวเอื้องอาหารแห่งความทรงจำในอดีตเท่านั้น บางทีอาจจะมีใครสักคนจะคอยสดับเสียงกวีของเขาบ้าง (30)

อิกบาลจบลงด้วยความคิดถึงความหวังอันคาดหวังถึงการทำสัญญาศรัทธาใหม่กับอัลลอฮฺ (31)

 

คำร้องทุกข์แต่อัลลอฮฺ

1. เหตุใดข้าฯ จึงต้องสูญเสียอยู่ชั่วนิรันดร์ ผลกำไรสูญไปตลอดกาล นั่นคือส่วนของข้าฯ จมอยู่กับความหดหู่ของยามเย็นที่ผ่านไป ไม่มีแผนสืบต่อไปวันพรุ่ง เหตุใดข้าฯ จึงต้องเฝ้าเอาใจใส่กับเสียงคราญคร่ำของนกไนติงเกล มิตรรัก ข้าฯ นี้เบื้อใบ้ดุจดอกไม้กระนั้นหรือ? ข้าฯ จำต้องเงียบงันอยู่เช่นนั้นหรือ? เรื่องราวของข้าฯ ทำให้ข้าฯ อาจหาญ ทำให้ลิ้นข้าฯ คล่องแคล่วขึ้น ผงธุลีอยู่ในปากข้าฯ จนเต็มปรี่ ข้าฯ ขอร้องทุกข์แต่องค์อัลลอฮฺเจ้า

2. เราได้ชื่อในการมอบตนจำนนต่อพระประสงค์แห่งพระองค์ – และก็เป็นเช่นนั้น เราได้เอ่ยออกมาแล้ว เราจำต้องกล่าวซ้ำถึงเรื่องราวแห่งความทุกข์สาหัสของเราอีกครั้งหนึ่ง เรานี้เป็นเหมือนดั่งพิณอันเงียบงัน ซึ่งสายของมันหนักอึ้งไปด้วยสำเนียง เมื่อความโศกศัลย์เปี่ยมล้นมาจนถึงปากเรา เราก็จำต้องจำนรรจ์โดยมิมีทางเลือก โอ้ พระผู้เป็นเจ้า! เราคือข้าผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ ขอได้โปรดอดทนต่อเราสักชั่วขณะหนึ่ง เป็นธรรมชาติวิสัยของเราที่จักสรรเสริญพระองค์อยู่เสมอ และพระองค์ก็ย่อมทรงสดับฟังคำร้องทุกข์สักเล็กน้อยด้วย

3. เรื่องที่ว่าความเป็นอยู่ของพระองค์มีมาเป็นปฐมตั้งแต่การเริ่มต้นของกาลเวลานั้นเป็นจริง กุหลาบประดับอยู่ในอุทยาน แต่กลิ่นหอมของมันมิมีผู้ใดตระหนักถึง เราร้องขอแต่ความยุติธรรม พรองค์ทรงสมบูรณ์ยิ่ง พระองค์ทรงการุณยิ่ง หากไร้ซึ่งสายลมโชยมา กุหลาบจักกระจายกลิ่นหอมของมันได้ฉันใด? เราผู้เป็นประชาชาติของพระองค์ถูกทำให้การกระจัดกระจายไป มิอาจพบเครื่องประโลมใจอันใดได้ หรือว่าการติดตามผู้ที่พระองค์รัก

คือความวิปลาสไปเสียแล้ว?