คำ ผกา | ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง

คำ ผกา

ฉันคิดว่าหลายๆ คนน่าจะสงสัยว่า ประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเลย ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม สิงคโปร์ ความเป็นเผด็จการของรัฐบาล ไม่ได้เท่ากับความโง่เง่า ล้าหลัง ไม่รู้วิธีการบริหารประเทศ

ตรงกันข้ามรัฐบาลเผด็จการในหลายประเทศ ต้องการโชว์เหนือหรือ “ของ” ใส่บรรดาประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายว่า “เฮ้ย อย่าคิดว่ามีแต่ประเทศประชาธิปไตยสิที่จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ และความอยู่ดีกินดีของประชาชน” หรืออย่างน้อยๆ รัฐบาลเผด็จการในหลายประเทศก็ทำงานหนักมากเพื่อทำให้ประเทศของตนเองมีหน้ามีตา

ทำให้ประชาชนในประเทศประชาธิปไตยอีกหลายประเทศต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า “เฮ้ย ประเทศเรามีประชาธิปไตยเสียเปล่า แต่ทำไมประเทศเราพัฒนาสู้ประเทศเผด็จการไม่ได้เลย เอ หรือเอาเข้าจริงๆ แล้วการปกครองแบบรัฐบาลเผด็จการมันอาจจะดีกว่าก็ได้นะ รัฐบาลมีเอกภาพ สั่งงานเร็ว เด็ดขาด ไม่มีเอ็นจีโอมาประท้วงนู่นนั่นนี่”

ทีนี้พอสงสัยแล้ว อาจจะไม่ค่อยมั่นใจว่า เอ๊ะ ตกลงประชาธิปไตยมันคือคำตอบของทุกปัญหาที่คนไทยเผชิญอยู่ตอนนี้จริงหรือไม่?

เราควรสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อดีไหม? หรืออาจจะสงสัยว่า ตกลงรัฐบาลอีตู่ที่เราอยู่กับมันมาตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 เนี่ยะ ปัญหาของมันคือ ความเป็นเผด็จการหรือความโง่กันแน่?

ฉันขอเริ่มต้นอย่างนี้ก่อนดีกว่า

ทั้งระบอบเผด็จการ และประชาธิปไตยนั้นเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของรัฐสมัยใหม่ด้วยกันทั้งคู่

รัฐสมัยใหม่ในที่นี้หมายถึง รัฐชาติที่เป็น “อิสระ” จากอำนาจรัฐ “จารีต/โบราณ/ศาสนา” หรือเป็นอิสระจากการตกเป็นอาณานิคมของประเทศเจ้าอาณานิคม ประกาศเอกราชแล้วเรียบร้อย

ทีนี้หลังจากประกาศเอกราช ไม่ว่าจะเป็นเอกราชจากเจ้าอาณานิคม หรือเจ้าครองนครรัฐแบบโบราณจารีต ยึดอำนาจทางการเมืองมาเป็นอำนาจของประชาชนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางแยกของประเทศที่เป็นเอกราชเหล่านี้ก็มีหลายทางแยกมาก

เพราะหลังประกาศเอกราช พลเรือนหลายๆ ฝ่ายที่เคยร่วมรบกับเจ้าอาณานิคมหรือกษัตริย์ในรัฐจารีต จนได้รับชัยชนะก็หันมาสู้กันเอง แย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่พลเรือนด้วยกัน

และในการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจกันนั้นก็หนีไม่พ้น มี “มหาอำนาจโลก” ค่ายต่างๆ มาถือหางกันคนละข้างสองข้าง

ทั้งมหาอำนาจ และปัจจัยภายนอก เช่น สงครามโลกทั้งสองครั้งก็ส่งผลต่อการเมืองภายในประเทศที่เพิ่งประกาศเอกราชเหล่านี้ และฉันจะขอไม่ลงรายละเอียด

เพราะทั้งประเทศในตะวันออกกลาง และแอฟริกา ต่างก็มีชะตากรรมต่างกันออกไปอย่างพิสดารทั้งสิ้น

ทีนี้หลังจากประกาศเอกราชฉันคิดว่าเราสามารถแบ่งประเทศเหล่านี้ออกเป็นสองกลุ่มคือ

ก. กลุ่มที่บรรดานักชาตินิยมผู้ไปกอบกู้ชาติมาจากอำนาจเก่าหรืออำนาจอาณานิคมสามารถสถาปนาตนเองเป็นผู้นำหรือรัฐบาลเผด็จการและปราบกลุ่มอื่นที่คิดต่างได้อย่างราบคาบ ปกครองด้วยระบบพรรคการเมืองเดียวไปยาวๆ ซึ่งไม่สำคัญว่าจะเลือกแปะป้ายประเทศตนเองว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” หรือ “ประชาธิปไตย”

ข. กลุ่มประเทศที่ประกาศเอกราชแล้ว บอกว่าตนเองเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแต่การเมืองลุ่มๆ ดอนๆ กองทัพเข้ามาแทรกแซงยึดอำนาจ ทำการรัฐประหาร ขัดจังหวะการลงหลักปักฐานของอุดมการณ์ประชาธิปไตยตลอดเวลา

ทีนี้จุดที่จะทำให้เรางงก็คือ ประเทศที่สถาปนารัฐบาลเผด็จการมาได้ยาวๆ ไม่ได้แปลว่า ประเทศของเขาล้มเหลวเสมอไป

เช่น สิงคโปร์ หรือเวียดนามที่กำลังอู้ฟู่มากที่สุดในอาเซียนตอนนี้

และต้องย้ำอีกครั้งว่า ผู้นำเผด็จการในหลายประเทศก็เลือกที่จะใช้วิธีสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำประเทศให้เจริญ อู้ฟู่ เพื่อให้ประชาชนหนุนให้ตัวเอง พรรคพวก ครอบครัว อยู่ในอำนาจต่อไปได้ยาวๆ

เผด็จการเหล่านี้ฉลาดพอที่จะแบ่ง “เค้ก” ให้ประชาชนได้เอ็นจอยบ้าง

ฉลาดพอที่จะสร้างภาพพจน์ของตัวเองให้ดูดี ด้วยการจัดการตกแต่ง “หน้าตา” บ้านเมืองให้เหมือนประเทศที่โลกที่หนึ่งและเป็นประเทศประชาธิปไตย สามารถรื้อเมืองที่เละเทะๆ ให้สวยงาม ทันสมัย สะอาดสะอ้าน มีทางเท้า มีทางเดินริมแม่น้ำ มีสวนสาธารณะดีๆ ชนิดที่ประเทศโลกที่หนึ่งบางประเทศยังสู้ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น

เผด็จการเหล่านี้ฉลาดพอที่จะรู้ว่า ทำแบบนี้แล้วจะด่าหรือไล่เขาลงจากอำนาจมันก็ทำยาก

แต่เผด็จการก็คือเผด็จการ ความอัปลักษณ์ของรัฐบาลเผด็จการไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทำงานเก่งหรือเผด็จการทำงานไม่เก่ง คือ “ห้ามคิด ห้ามเถียง ห้ามคัดค้าน”

สิ่งที่ทุกรัฐบาลเผด็จการมีเหมือนกัน คือการควบคุมสื่อ ควบคุมการแสดงความเห็นของประชาชน หรือพูดง่ายๆ ว่า ชมได้ อวยได้ ห้ามด่า ห้ามคัดค้าน และวิธีการจัดการกับลูกอีช่างด่า อีช่างค้านก็เป็นการจัดการแบบไม่แคร์หลักการสิทธิมนุษยชนใดๆ ทั้งสิ้น

อีกทั้งไม่แคร์การประณามจากชาวโลก ยิ่งประเทศเผด็จการที่ร่ำรวย มั่งคั่ง และมีอำนาจต่อรองบนเวทีโลกสูง ยิ่งไม่แคร์ จะยูเอ็น จะอียู จะฮิวแมนไรท์วอทช์ หรืออะไรก็ไม่แคร์ เพราะรู้ว่า ตัวเองมีพลังอำนาจทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งพอที่คนจะไม่กล้าเลิกคบ

ดังนั้น หลายประเทศเผด็จการที่ดูดี บ้านเมืองสวย เศรษฐกิจดี มีผังเมือง คุณภาพชีวิต สนามบิน สาธารณูปโภคคล้ายประเทศโลกที่ 1 มักจะซ่อนความอัปลักษณ์ไว้ภายใต้ความสำเร็จที่สวยงามเหล่านั้นมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างอย่างป่าเถื่อนเงียบๆ

การจับกุมคุมขังคนที่วิจารณ์รัฐบาลเป็นว่าเล่น

และที่โหดคือประชาชนไม่คิดว่าต้องออกมาต่อต้านรัฐบาลเพราะคนส่วนใหญ่ได้อานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีพอควร

จึงรู้ว่ามันจะเป็นการฉลาดกว่าที่จะไม่ต่อต้านรัฐบาลและมีชีวิตที่ดีตามอัตภาพไป

แล้วประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มไหน?

ฉันเคยคิดว่าประเทศไทยอยู่ในกลุ่ม ข. คล้ายๆ พม่า อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ ปลดปล่อยตัวเองออกจากรัฐจารีต แล้วการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเราก็ลุ่มๆ ดอนๆ แย่งชิงอำนาจกันไปมาและกองทัพเข้าแทรกแซง คอยทำการรัฐประหารยึดอำนาจอยู่เนืองๆ

ทว่า 7 ปีภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ ทำให้ฉันต้องกลับมาทบทวนความเข้าใจนี้ใหม่

เพราะถ้ากองทัพ และประยุทธ์มุ่งมั่นกับการจะเป็นเผด็จการ และต้องการสถาปนาอำนาจเผด็จการในประเทศจริงๆ พวกเขาน่าจะมีความ “พยายาม” ในการบริหารประเทศมากกว่านี้ เพื่อสร้างความชอบธรรมและโน้มน้าวให้คนไทยเห็นว่า เออ เผด็จการดีกว่าประชาธิปไตยจริงๆ

หรืออย่างน้อยต้องทำให้คนสัก 20% ของจำนวนประชากร รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น ร่ำรวยขึ้น หรือง่ายที่สุด แม้แต่จะทำให้น้ำประปาไม่เค็ม ถนนสะอาดสะอ้าน ก็ยังไม่พยายามจะทำ

เพราะถ้าจะเลือกทำให้คนสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งความสะอาด ความเป็นระเบียบของบ้านเมืองแล้วทุ่มสรรพกำลังไปกับการกวาดล้างพวกเรียกร้องประชาธิปไตย มันยังทำให้ความเป็นเผด็จการนั้นประสบความสำเร็จมากกว่าการเป็นเผด็จการห่วยๆ อย่างที่เป็นทุกวันนี้

หรือรัฐบาลนี้จะไม่ได้เป็นเผด็จการ?

คำโบราณคำหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของฉัน นั่นคือคำว่า “กินเมือง”

เออ พวกเขาไม่ได้ทำการรัฐประหารเพื่อจะมาเป็นเผด็จการบริหารประเทศนะ พวกเขารัฐประหารมาเพื่อจะนำระบบ “กินเมือง” กลับมาใช้ในการปกครอง

“กินเมือง” คือแนวคิดรัฐจารีตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเราก็ยังมีคำว่า “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง”

ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง ไม่ได้นำความสุขความเจริญมาให้เรา แต่กลับนำมาซึ่งความราพณาสูร

แต่เราก็ต้องยอมรับความยิ่งใหญ่ของช้างหรือพญาอย่างไม่มีข้อแม้และเห็นว่านี่คือชะตากรรมอันเป็นปกติธรรมดา

โลกถูกกำหนดให้เป็นเช่นนี้ก็ต้องเป็นเช่นนี้ เป็นไพร่ เป็นนกเป็นหนู ถ้าเจอช้างเจอพญา มันต้องราพณาสูรเป็นธรรมดา

แล้วฉันก็ถึงบางอ้อว่า แท้จริงแล้วประเทศไทยยังไม่ได้ปลดปล่อยตัวเองให้หลุดไปจากการเป็นรัฐจารีตในแง่ของอุดมการณ์

การรัฐประหารครั้งล่าสุดคือการรักษามิให้ระบอบ “กินเมือง” หายไปจากประเทศไทย

นายกฯ คือพระยานั่งเมือง ประชาชนมีหน้าที่ทำงานส่งส่วย ไม่ได้ส่งส่วยอย่างเดียว แต่ต้องสำนึกในบุญคุณที่เขาอุตส่าห์นับเราเป็นไพร่ในสังกัด ไปไหนก็จะได้บอกใครต่อใครได้ว่ามีใครเป็นนาย เหมือนหมาที่มีเจ้าของ

ดังนั้น ความห่วยของรัฐบาลไม่ได้เกิดจากความโง่ หรือทำงานไม่เป็น

แต่เกิดจากการที่พวกเขาไม่เคยคิดว่าหน้าที่ของเขาคือ “บริหาร” หน้าที่ของพวกเขาคือ “นั่งกินเมือง” และประกอบพิธีกรรมบางอย่างให้ประชาชนตระหนักว่า พวกเขาคือพระยา (แสดงออกผ่านเสื้อผ้าอย่างชุดไหมที่ ครม.ชอบใส่ ขบวนผู้ติดตาม การแห่แหนเป็นขบวนของคนใหญ่คนโต ฯลฯ) แล้วประชุมเยอะ แต่งตั้งคณะกรรมการเยอะๆ เพราะนี่คือการ “ว่าราชการ” ที่ต้องแสดงออกในเชิงพิธีกรรมให้คนเห็นว่า มีการ “ว่าราชการ” กันตลอดเวลา

จากนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรอีก นอกจากจี้เอาส่วยจากไพร่ แล้วก็กินเมืองไปเรื่อยๆ มั่งคั่งไปเรื่อยๆ กับพวกพ้องญาติมิตร ไม่สนใจด้วยว่า ไพร่จะทำมาหาส่วยได้น้อยลงเรื่อยๆ เพราะน้อยแค่ไหนมันก็ยังเป็นส่วยที่ได้มาโดยไม่ต้องลงทุนอะไร

มันน่าเศร้าขนาดไหนว่าอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการก็ว่าแย่แล้ว แต่สภาพสังคมไทยตอนนี้แม้แต่เผด็จการก็ยังไม่ใช่ เพราะยังเป็นแค่ระบบนั่งเมืองกินเมืองแบบรัฐโบราณก่อนมีรัฐชาติสมัยใหม่