จ๋าจ๊ะ วรรณคดี /ญาดา อารัมภีร/กิจกรรมยอดนิยม

ญาดา อารัมภีร

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี/ญาดา อารัมภีร

กิจกรรมยอดนิยม

การพนันชนไก่อยู่ในวิถีชีวิตคนไทยมายาวนานหลายร้อยปี ดังที่มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ และฟรังซัวร์ อังรี ตุรแปง บันทึกเรื่องการชนไก่ในสมัยอยุธยาไว้ใกล้เคียงกันว่า แม้คนไทยสมัยนั้นจะนิยมตีไก่ชนไก่ แต่พุทธศาสนาถือว่า การชนไก่เป็นบาปที่ไม่พึงกระทำ

“…พระสงฆ์เชื่อและกล่าวว่า เจ้าของไก่นั้นจะได้รับการลงทัณฑ์ในปรภพ…” (จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม ฉบับ สันต์ ท. โกมลบุตร แปล)

“…พระภิกษุที่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด จึงสาปแช่งการเล่นชนิดนี้และเชื่ออย่างแรงกล้ามั่นคงว่า ผู้ที่เอาไก่ไปชนกันเสี่ยงความตายนั้นจะต้องถูกหวายเหล็กเฆี่ยนในชีวิตหน้า…” (ประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม กรมศิลปากร จัดพิมพ์ พ.ศ.2530)

นอกจากนี้ “ปาจิตกุมารกลอนอ่าน เล่ม 2” วรรณคดีสมัยธนบุรีกล่าวถึงการชนไก่ไว้เช่นกัน เมื่อนางอรพิมถามว่า “คนหัวล้านทำกรรมใดจึงไร้ผม” พระปาจิตได้เล่าถึงผลกรรมจากการพนันชนไก่ ดังนี้

 

“นางโฉมงามถามเดิมคนหัวล้าน               เป็นไรนั่นจึงไม่มีเกศีผม

แต่ก่อนกรรมทำไฉนได้อบรม                  พระทรามชมเชิญเล่าให้เข้าใจ

พระโฉมปรางค์ตอบนางปราสัยสาร           เรื่องหัวล้านพี่จะแจ้งแสดงไข

แต่ครั้งหลังเล่ามาแต่ย่ายาย                   ว่ายังมีกระทาชายคนเฉโก

ไม่ทำมาหากินไม่ถางไร่                        ชนแต่ไก่สร้างแต่กรรมคนโยโส

ไม่นิจจังสังขาราว่าพุทโธ                      ทำพาโลความชั่วใส่ตัวเอง

ให้ไก่ชนจิกขนกันหลุดลุ่ย                      ขาดกระจุยถอนขนทำข่มเหง

พนันไก่ดีใจกันครื้นเครง                       ไม่กลัวเกรงบาปกรรมทำพาโล”

 

การตีไก่ชนไก่คือความสนุกและความสุขของเจ้าของไก่ที่ได้ลุ้นแพ้-ชนะ ได้-เสียในการพนัน แต่เป็นความทุกข์ของ ‘ไก่ชน’ ที่ ‘จิกขนกันหลุดลุ่ย ขาดกระจุยถอนขนทำข่มเหง’ เมื่อชีวิตคนชนไก่สิ้นสุด กรรมมิได้สุดสิ้นพร้อมกับชีวิต ความผิดที่กระทำต้องชดใช้ในนรกนานถึงหนึ่งพันปี

 

“ครั้นสิ้นชนม์ด้วยว่าตนทำลามก               ตกสังฆาตพนรกอยู่ผลุบโผล่

ได้พันปีในบาลีของพุทโธ                         เพราะพาโลชนไก่ให้จิกกัน”

 

จริงๆ แล้วผู้อยู่ใน ‘สังฆาตพนรก’ หรือ ‘สังฆาฏนรก’ มิได้รับกรรมเพียง 1,000 ปี ตามที่ระบุไว้ใน “ปาจิตกุมารกลอนอ่าน เล่ม 2” แต่ยาวนานกว่านั้น ดังที่ “ไตรภูมิพระร่วง” วรรณคดีสมัยสุโขทัย มีข้อความว่า

“ฝูงสัตว์อันเกิดในสังฆาฏนรกนั้น ยืนได้ 2,000 ปีในนรกนั้น ในสังฆาฏนรกนั้น วันหนึ่งคืนหนึ่งได้ 145,000,000 ปีในมนุษย์ 2,000 ปีในสังฆาฏนรกนั้นได้ 103,680,000,000,000 ปีในมนุษย์แล”

“ปาจิตกุมารกลอนอ่าน เล่ม 2” เล่าถึงผลกรรมสืบเนื่องจากการชนไก่ แม้ใช้กรรมหนึ่งพันปีใน ‘สังฆาตพนรก’ แล้ว ยังต้องเกิดเป็นเปรตและเกิดเป็นคนหัวล้านต่อไป

 

“ครั้นสิ้นกรรมในนรกหกมาเกิด        เอากำเนิดเกิดเป็นเปรตโตมหันต์

ตัวเป็นคนหัวเป็นไก่ไล่ตีกัน            เป็นนิรันดร์อยู่ใต้รากเขาพระเมรุ

สิ้นชาติเปรตเศษบาปยังรุกร้น        เกิดเป็นคนอัพลาทันตาเห็น

รูปก็ชั่วหัวก็ล้านด้วยกรรมเวร        มันนอกเกณฑ์ทำเกินจึงเกิดกรรม”

 

น่าสังเกตว่าแม้ศาสนาพุทธจะห้ามตีไก่ชนไก่ แต่เนื่องจากเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่อยู่คู่สังคมไทยมายาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยา ธนบุรี จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ การชนไก่ตีไก่มิได้จำกัดเฉพาะแวดวงฆราวาสเท่านั้น ผู้สืบพุทธศาสนาตั้งแต่พระสงฆ์ลูกวัดขึ้นไปถึงสมภารเจ้าวัดก็ชื่นชอบกันทั่วหน้า

ในขณะที่พระสงฆ์ล้อมวงเตะตะกร้อพนันชนไก่กันอย่างสนุกสนานโดยมีสมภารเป็นหัวโจก

สุนทรภู่ซึ่งเห็นเต็มสองตา ได้ยินเสียงเชียร์เต็มสองหู รู้สึกหดหู่ใจเป็นที่สุด ดังที่เล่าไว้ใน “นิราศสุพรรณ” ว่า

 

“ตะวันเยนเหนพระพร้อม              ล้อมวง

ตีปะเตะตะกร้อตรง                      คู่โต้

สมภารท่านก็ลง                          เล่นสนุก ขลุกแฮ

เข่าค่างต่างอวดโอ้                        อกไห้ใจหาย

อยุดกระกร้อฬ่อไก่ตั้ง                    ตีอัน

ผ้าพาดบาดเหล็กพนัน                  เหน็บรั้ง

ไก่แพ้แร่ขบฟัน                          ฟัดอุบ ทุบเอย

เจ้าวัดตัดเรือตั้ง                         แต่งเหล้นเยนใจ” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

 

แม้การพนันชนไก่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในอดีต แต่ก็เป็นความสุขบนความทุกข์ทรมานแสนสาหัสของไก่ที่ต้องเจ็บปวด พิการหรือถึงตาย

ด้วยเหตุนี้สมัยรัตนโกสินทร์จึงออก “พระราชกำหนดใหม่” เป็นกฎหมายที่ห้ามการตีไก่ซึ่งระบุถึงการปรับโทษไว้อย่างชัดเจน

“…ด้วยพระบาทสมเดจบรมนาถบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงทศพิธราชธรรมอันมหาประเสริฐ เสดจสถิตย ณ พระธินั่งบุษบกมาลามหาจักระพรรดิพิมาน พร้อมด้วยเสนาพฤฒามาตยนักปราชราชบันฑิตยปะโรหิตาจารยเฝ้าพระบาทตามอันดับผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยขนาด พระศรีวิโรชราชเศษฐีกราบบังคมทูลพระกรรุณาว่า นักเลงมีชื่อทุกวันนี้ชนไก่พนันไก่กัน เอามีดผูกเท้าให้ชนถึงแก่ชีวิตรบ้าง ลางทีเอามีดผ่าศีศะไก่ใขโลหิตออกบ้าง ลางทีแทงกันตาบอดทังสองข้าง เยบตาถ่วงหูบ้าง ให้น้ำหักปีกตะเกียบเสียบ้าง ลางทีใส่ญาเบื่อเมาให้กินบ้าง กลับชณะเปนแพ้ คิดอุบายเอาแต่ทรพยเปนอนาปรโยชน เกิดวิวาทกันเนืองๆ … แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าห้ามอย่าให้ผู้ใดๆ คบหาชักชวนกัน ชนไก่ชนนกคุ่มชนนกกะทาชนนกศรีชมพู แลจับปลาให้กัดพะนันกันเปนอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดมิฟังจับได้พิจารณาเปนสัจ จะให้ลงพระราชอาชญาขับเฆี่ยน ปรับไหมตามโทษานุโทษ…” (พระราชกำหนดใหม่ ๔๒ อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

ศาสนาก็ปราม กฎหมายก็ห้าม นานหลายร้อยปีจนถึงวันนี้ยังมีพนันชนไก่กันอย่างแพร่หลาย ที่ร้ายกว่าคือพ่วงโควิด-19 เป็นของแถมจากบ่อนไก่เอามาแจกจ่ายนอกบ่อน

นรกบนดินมีจริง