ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เมนูข้อมูล |
ผู้เขียน | นายดาต้า |
เผยแพร่ |
เมนูข้อมูล | ที่มาอำนาจอันน่าขัน
เกิดการรัฐประหารที่เมียนมา
แน่นอนคนที่จะทำเช่นนี้ได้ต้องกุมกองทัพและอาวุธ ใช้กำลังพลและอาวุธของประเทศ ยึดอำนาจทางการเมืองให้ตัวเอง
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพพม่า คือผู้ก่อการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ด้วยเหตุผลที่คุ้นอย่างยิ่ง แบบว่าการเลือกตั้งที่เพิ่งเสร็จสิ้น และเตรียมจัดประชุมสภาครั้งแรก โดยที่พรรคการเมืองของกองทัพพ่ายแพ้อย่างยับเยินนั้น เป็นการเลือกตั้งที่อยุติธรรม จัดการเลือกตั้งแบบไม่โปร่งใส
กองทัพซึ่งเป็นห่วงเป็นใยประเทศจึงต้องทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ ประกาศภาวะฉุกเฉิน 1 ปี เพื่อทำให้อำนาจการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศมีความโปร่งใส
สรุปให้เข้าใจสั้นๆ ง่ายๆ ว่า พรรคทหารแพ้ไม่ได้ ถ้าแพ้ก็ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากการจัดการเลือกตั้งไม่โปร่งใส ทำให้ประชาชนไปเลือกพรรคพลเรือน
คุ้นๆ ใช่ไหมกับเหตุผลแบบนี้
หลังการทำรัฐประหารในพม่า เกิดการแสดงความคิดความเห็นกันมากมายในคนแทบทุกกลุ่มในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นการมองเห็นความล้าหลังของการเมืองในเมียนมา การแสดงความเห็นที่แสนจะตลกของทหารแต่ใช้ยึดอำนาจการปกครองประเทศได้
การไม่ยอมรับการตัดสินในของประชาชนก่อให้เกิดความรู้สึกน่าละอาย
ผู้คนจำนวนมากในประเทศไทยเรา มองการรัฐประหารครั้งล่าสุดของเมียนมาเหมือนเป็นเรื่องไร้สติ
ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากกับมุมมองของคนไทยส่วนใหญ่เช่นนี้
เพราะเอาเข้าจริงประเทศไทยเราใช่ว่าจะดูดีกว่าสักเท่าไร
ปี 2557 ทำรัฐประหาร แต่งเพลงเปิดในสื่อรวมการเฉพาะกิจกรอกหูประชาชนอยู่ทุกวันว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน” แล้วหลังจากนั้นแก้รัฐธรรมนูญถ้าโอนอำนาจพิเศษจากกองกำลังและอาวุธไปยัดใส่ไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศเพื่อเป็นข้ออ้างกับนานาชาติ ขณะที่ยังมีกองทัพสนับมสนุนอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา
ใช้กฎหมายและกลไกอย่างที่เพื่อควบคุมอำนาจ จัดการคนเห็นต่างอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะที่จะกระทบต่อการสืบทอดอำนาจของพรรคพวกตัวมีปัญหา
แปลกมั้ย คนไทยเราไม่ละอายกับพฤติกรรมทางการเมืองเช่นนี้ เท่ากับรู้สึกถึงความย่ำแย่ที่กองทัพพม่าไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
มีปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจ
“นิด้าโพล” สอบถามคะแนนนิยมทางการเมืองของปีที่ผ่านมา ถามในเรื่องเดียวกัน 3 เดือนครั้ง
ในคำถามถึง “บุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้” (หมายถึงวันที่ตอบแบบสอบถาม)
แม้ว่าในทุกครั้งส่วนใหญ่จะตอบว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้”
แต่ผลของคำตอบรองลงมา คือให้เลือกทุกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคนอื่นอยู่ทุกที
สำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน ได้ร้อยละ 25.47 พอมากันยายน ได้ร้อยละ 18.64 ลดลง แต่ธันวาคม พรวดขึ้นมาที่ร้อยละ 30.32
เหนือกว่าผู้นำพรรคการเมืองอื่นทั้งหมด
เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศด้วยการทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เช่นเดียวกับท่านนายพลแห่งเมียนมา
แตกต่างกันที่การกระทำของนายพลเมียนมาให้ความรู้สึกน่าจะละอาย แต่การกระทำของนายพลไทยกลับเป็นเรื่องน่านิยมยกย่อง
“พล.อ.ประยุทธ์บริหารงานดีอยู่แล้ว เป็นคนจริงจังกับการทำงาน ทำงานตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์ บ้านเมืองไม่วุ่นวาย สามารถตัดสินใจได้เด็ดขาด ช่วยเหลือประชาชนทุกเพศทุกวัยอย่างทั่วถึง เหมาะสมให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป และมีความชื่นชมเป็นการส่วนตัว”
คือเหตุผลของผู้ให้การสนับสนุน
ซึ่งเป็นความน่าสนใจมาก
น่าสนใจตรงที่หากเป็นเรื่องที่เกิดไกลตัวเรามักมองเป็นความน่าหัวเราะ แต่เมื่อเกิดใกล้ตัวกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น