ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 มิถุนายน 2560 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ
“รัฐประหาร”ทรัมป์
ตอนชนะเลือกตั้งใหม่ๆ แบบพลิกความคาดหมาย ก็ทำให้ชาวอเมริกันบางคนอยากให้มีการยับยั้งไม่ให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำพิธีสาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่
พูดตรงๆ ก็คือ ขอให้ใครสักคน (ซึ่งก็น่าจะเป็นกองทัพ) เข้ามายึดอำนาจเอาไว้เสียเลย เพราะรู้สึกเหลือทนกับผู้นำคนใหม่นี้เกินกว่าจะยอมรับได้
อันที่จริง แม้แต่คนในพรรครีพับลิกันเองก็ไม่ยอมรับทรัมป์มาตั้งแต่แรก ไม่อยากให้เขาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนพรรคเข้าชิงประธานาธิบดี เพราะพฤติกรรมและคำพูดของทรัมป์นั้นสร้างปัญหามากอย่างที่ทราบกัน และอาจกระทบต่อภาพลักษณ์โดยรวมของพรรค
อย่างไรก็ตาม หลังจากทำพิธีสาบานตน ก็มีข่าวเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวด้านลบของเขาออกมาเป็นระยะซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย
ซึ่งระดับความอื้อฉาวเข้มข้นขึ้นตลอดเวลา จนมีบางคนเปรียบเทียบว่าคล้ายกับคดี “วอเตอร์เกต” สมัยประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน (รีพับลิกัน) ซึ่งทำให้นิกสันต้องลาออกจากตำแหน่ง
ถือเป็นคดีใหญ่มากในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน เรียกได้ว่ากล่าวขานกันชั่วลูกชั่วหลาน
เมื่อมาถึงยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังลุ้นกันว่าชะตากรรมของเขาจะซ้ำรอยวอเตอร์เกตหรือไม่
เพียงแต่ครั้งนี้เป็น “รัสเซียนเกต” เท่านั้นเอง
วอเตอร์เกตยุคนิกสันและรัสเซียนเกตยุคทรัมป์ มีความคล้ายกันหลายอย่าง
เช่น เกี่ยวข้องกับสื่อมือพระกาฬด้านข่าวสืบสวนสอบสวนอย่างวอชิงตันโพสต์ เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมข้อมูลพรรคเดโมแครต เกี่ยวข้องกับเอฟบีไอ
วอเตอร์เกตเป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1972 เมื่อนิกสันและคนในคณะรัฐบาลครึ่งร้อยมีส่วนเกี่ยวข้องในการโจรกรรมข้อมูลที่สำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครตที่ตั้งอยู่ในอาคารสำนักงานชื่อวอเตอร์เกตในวอชิงตัน ดี.ซี. ด้วยการติดตั้งเครื่องดักฟัง
นักข่าววอชิงตันโพสต์ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่อยู่ในวงสุดที่มีนามแฝงว่าดีพโทรต เกี่ยวกับการใช้อำนาจในทางมิชอบดังกล่าวของนิกสันและพวกจึงเสนอข่าวขุดคุ้ยแบบเกาะไม่ปล่อย
ในที่สุดนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนจนพบว่านิกสันและคณะมีความผิดจริง
ตามหลักปฏิบัติของนักข่าว จะไม่เปิดเผยแหล่งข่าวว่าเป็นใคร เพื่อให้แหล่งข่าวไว้วางใจว่าเขาหรือเธอจะไม่เป็นอันตรายหรือได้รับผลกระทบจากการออกมาเปิดเผยความจริงที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือส่วนรวม เมื่อทำได้เช่นนี้แหล่งข่าวก็จะไว้วางใจป้อนข้อมูลให้เป็นระยะ
นี่จึงกลายเป็นที่มาของข่าวสุดยอดระดับโลก
ดีพโทรตนั้นไม่เปิดเผยตัวเอง จนกระทั่งปี 2005 หรืออีก 33 ปีต่อมา
ซึ่งปรากฏว่าเขาคือ มาร์ก เฟลต์ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) ในยุคนิกสัน
สําหรับ “รัสเซียนเกต” ยุคทรัมป์นั้น วอชิงตันโพสต์ก็มีบทบาทสำคัญในการเปิดประเด็น ร่วมกับสื่อค่ายหลักๆ เช่น นิวยอร์กไทม์ส
แรกเริ่มมีการแฉว่ารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเพื่อช่วยให้ทรัมป์ชนะ
ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าทำไมทรัมป์จึงมีท่าทีเป็นมิตรและเอาใจผู้นำรัสเซีย
ซึ่งวอชิงตันโพสต์รายงานอ้างอิงข้อมูลจากซีไอเอว่ารัสเซียได้แทรกแซงจริงด้วยการแฮกข้อมูลของพรรคเดโมแครต
และนำไปส่งให้กับเว็บไซต์วิกีลีกเพื่อโจมตี นางฮิลลารี คลินตัน ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
ถัดมาหลังจากทรัมป์ทำพิธีสาบานตนไม่ถึง 1 เดือน ไมเคิล ฟลีนน์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ ต้องลาออกหลังจากถูกแฉว่าติดต่อกับรัสเซียและสัญญาว่าจะยกเลิกการคว่ำบาตรรัสเซีย
ทั้งที่ในช่วงนั้นทรัมป์ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
จึงถือว่าทำผิดกฎหมาย
เรื่องรัสเซียนเกตยกระดับขึ้นสูงสุด เมื่อทรัมป์ไล่ เจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอ ออกจากตำแหน่งกะทันหันโดยที่เจ้าตัวก็คาดไม่ถึง
ทรัมป์อ้างเหตุผลว่าปลดเพราะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่กี่วันถัดมาสื่อหลักๆ เปิดข้อมูลใหม่ขึ้นมาอีกโดยระบุว่าได้อ่านบันทึกของโคมีย์ ซึ่งบันทึกหลังจากทรัมป์เรียกตัวเข้าพบ ในบันทึกแฉว่าทรัมป์ได้ขอให้เขายุติการสืบสวนกรณี ไมเคิล ฟลีนน์
นั่นเท่ากับว่าการปลดผู้อำนวยการเอฟบีไอเกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง ไม่ใช่ปลดเพราะทำงานไร้ประสิทธิภาพอย่างที่ทรัมป์อ้าง
ต่อจิ๊กซอว์ได้ไม่ยากว่าคนที่นำบันทึกไปให้นักข่าวดู ก็คงไม่พ้น เจมส์ โคมีย์
ซึ่งสุดท้ายเขาอาจกลายเป็นดีพโทรตรายที่สองซึ่งโค่นเก้าอี้ทรัมป์ก็เป็นได้
สื่ออเมริกันและคอลัมนิสต์ที่เชียร์ทรัมป์ ได้พยายามวิเคราะห์ว่าข่าวรัสเซียที่มากระแทกทรัมป์ระลอกแล้วระลอกเล่า เป็นความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามจะกำจัดทรัมป์ออกไปจากตำแหน่ง
หรือจะเรียกว่าเป็นความพยายาม “รัฐประหาร” ทรัมป์โดยทำให้เห็นว่าเขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง
สื่อที่เชียร์ทรัมป์ระบุว่ากลุ่มคนที่พยายามโค่นทรัมป์นี้ เป็นคนในพรรครีพับลิกันเองส่วนหนึ่งโดยร่วมมือกับเดโมแครต
ซึ่งในบรรดาคนรีพับลิกันที่ต้องสงสัยว่าปูดข้อมูลดิสเครดิตทรัมป์ก็คือ จอห์น แม็กเคน (วุฒิสมาชิกและวีรบุรุษสงครามเวียดนาม) ลินด์ซีย์ เกรแฮม และพอล ไรอัน (ประธานสภาผู้แทนราษฎร)
ฝ่ายเชียร์ทรัมป์อ้างเหตุผลแบบแปลกๆ ว่าไม่ถูกต้องที่จะกำจัดทรัมป์ เพราะว่าเขาได้รับเลือกจากประชาชน (ฟังดูคุ้นๆ คล้ายคนพูดอยู่เมืองไทย)
แล้วก็เฉไฉไปว่าคนที่นำข้อมูลทรัมป์ไปเปิดเผยน่าจะเป็นการทำผิดกฎหมาย
ซึ่งผู้วิเคราะห์เช่นนี้ไม่ยอมมองอีกด้าน ในประเด็นที่ว่าหากสิ่งที่ทรัมป์ทำนั้นละเมิดกฎหมาย ไม่เหมาะสม ทำให้ชาติเสียประโยชน์ ใครๆ ที่เห็นแก่ชาติก็ย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะนำไปบอกกล่าวแก่สื่อมวลชน
โดยปกติแล้วหากผู้นำคนใดไม่มีแผล ก็ยากที่ใครจะโค่นล้มได้ เพราะสังคมจะเห็นเอง
แต่กรณีทรัมป์นั้น ถึงแม้ไม่มีใครนำความลับมาเปิดเผยต่อสื่อ ลำพังแค่คำพูดและการกระทำที่สาธารณชนมองเห็นได้เองก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะประทับตราว่าเขาเป็นคนแบบไหน
เพราะไม่ได้มีแค่เรื่องรัสเซีย แต่ยังมีผลประโยชน์ทับซ้อนหลายอย่าง เช่น ลูกเขยและลูกสาวของเขาเอาตำแหน่งประธานาธิบดีไปเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจ
ผู้นำคนใดก็ตามที่ถูกคนใกล้ชิดนำข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่มิชอบไปเปิดเผยต่อสื่อ ก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่คนใกล้ชิดยังทนไม่ได้กับพฤติกรรมของผู้นำประเภทนี้
หากยังเงียบเฉยก็เท่ากับปล่อยให้คนคนนี้หาประโยชน์ใส่ตัวไปเรื่อย
และบางครั้งอาจถึงกับทำลายผลประโยชน์ของชาติ
ชะตากรรมของทรัมป์จะจบลงอย่างไรคงต้องลุ้นกันอีกนาน
เพราะโดยพื้นฐานเขาไม่น่าจะมีสปิริตอะไรในเรื่องนี้คงดื้อแพ่งจนนาทีสุดท้าย
และเป็นไปได้ว่าถ้าโดนบีบมากๆ เขาอาจปลุกระดมให้คนที่เลือกเขาลุกฮือขึ้นมาประท้วงหรือขัดขวางใครก็ตามที่จะตรวจสอบเอาผิดเขาก็เป็นได้
แต่ระหว่างต่อสู้เพื่อยื้ออำนาจนี้ เศรษฐกิจจะเสียหายไปทีละน้อยเนื่องจากนักลงทุนจะเกิดความไม่มั่นใจ
เพราะถือว่าเกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองขึ้นแล้ว