อาณาจักรใจ / การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์/ทวีปที่สาบสูญ เมื่อฉันกลับมาบ้านไม้ริมคลองอีกครั้ง

อาณาจักรใจ/การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ [email protected]

ทวีปที่สาบสูญ

เมื่อฉันกลับมาบ้านไม้ริมคลองอีกครั้ง

 

ภรรยาของพ่อนั่งอยู่ฝั่งซ้าย ซึ่งเคยเป็นที่นั่งของแม่…บนพื้นกระดานเดิมที่ก็เคยเป็นไม้แป้นขัดสะอาดจนขึ้นเงา แต่บัดนี้ เหมือนมีฝุ่นจับเสียทุกหนทุกแห่ง อย่างไรก็ตาม ลายซิ่นดอกแดงก็ไม่ผิดตา เหมือนว่าผู้หญิงเกือบทั้งหมดในหมู่บ้านจะนิยมสวมผ้าถุงลายอย่างนี้

พ่อนั่งขัดสมาธิด้านทิศตะวันออก หันหลังให้หน้าต่าง เหนือผนังขึ้นไปมีหิ้งพระ วางแจกันดอกไม้ แทนที่ดอกไม้สดคือดอกพลาสติกสีเขียวๆ แดงๆ นอกจากนั้นก็มีลูกประคำแขวนข้างเสา กับไม้แกะสลักอีกชิ้น เป็นรูปงาช้างคู่กับดอกบัวตูม

อดเฝื่อนคอไม่ได้เมื่อหวนระลึกว่า เป็นตัวฉันที่ร่ำร้องอยากได้ของสิ่งนี้ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะเอามาทำไม

มีอยู่วันหนึ่ง พ่อค้าขายของเร่เข้ามาในหมู่บ้านของเรา เขามีของมาหลายอย่าง ทั้งเสื้อผ้า ถ้วยจานชาม ของเล่นเด็กจำพวกตุ๊กตาและอาวุธพลาสติก แต่ขณะที่ใครๆ มุงดูของสิ่งอื่น ฉันกลับสะดุดตาเข้ากับไม้แกะสลักชิ้นดังกล่าว

แม่อ่านสายตาออก ถามฉันว่าอยากได้หรือ ฉันพยักหน้า แม่จึงถามราคา แต่แล้วก็พบว่าเรามีเงินน้อยกว่าจะซื้อได้ มันแพงเกินไป “เกือบจะเป็นร้อย” แม่ว่า

คนขายชิงบอกว่า เป็นงานไม้อย่างดี ของหายาก ทำมาจากเมืองแพร่เมืองน่าน จำได้ว่า เขาพูดสองคำนี้ต่อกัน จนพ่อหัวเราะอย่างขบขันแล้วถามว่า

“ตกลงของเมืองแพร่หรือของเมืองน่าน”

ชายคนขายหัวเราะบ้าง

“โธ่ พ่อหนาน คนเฮาก่อู้กันเป็นค่าวเป็นเครือบ้าง”

พ่อหัวเราะอีก จากนั้นคนทั้งสองก็คุยกันไปถึงเรื่องคำค่าวบทกวี การอู้เกี้ยวบ่าวสาว ยาวจนถึงพ่อชวนเขากินข้าวเที่ยงด้วยกัน

แต่ในครัว แม่พูดกับฉัน ต่อหน้าหม้อแกงผักกาดที่กำลังจะได้ที่ เตรียมตักใส่ขันโตกว่า

“ตัดใจเสียก่อนเถอะนะ เอาไว้ให้มีเงินทองกว่านี้ จะซื้ออีกสักกี่อันก็ได้”

“เขาบอกว่ามันมีอันเดียว”

“เชื่ออะไรกับพ่อค้า” แม่ว่า “มาจากเมืองไหนก็ยังพูดไม่ชัดสักอย่าง ไม่แน่เอามาจากเมืองฝางเชียงดาวนี้เอง”

ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงจับใจของสิ่งนั้นนัก แต่เมื่อตัวเองก็ไม่มีเงินทองสักบาท ก็ต้องแล้วแต่คำขาดของแม่

“งั้นเอาไว้วันหน้า ถ้าเขามีมาขายอีก จะซื้อไว้สักอัน”

“ไม่ต้องเสียใจหรอกลูก เชื่อแม่เถอะ ของอย่างนี้ไม่ได้มีอันเดียวในโลก”

แต่เมื่อขันโตกยกออกไปตั้ง กินข้าวกันจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ฉันก็ยังเฝ้าเหลือบแลของชิ้นนั้นอยู่ไม่วาย แล้วพอแม่ยกโตกออกไปเก็บ ชายคนขายก็หันมามองหน้าฉันพูดว่า

“อยากได้รึ”

ฉันพยักหน้า

“อยากได้มากมั้ย”

ฉันไม่ตอบ

“งั้นเอามาสิบเก้าบาท”

ฉันตกตะลึง จากราคาเกือบร้อย หย่อนไปไม่กี่บาท กลับลดราคาลงมาฮวบฮาบ

พ่อหัวเราะอย่างชอบใจ

คนขายเก็บข้าวของชิ้นอื่นๆ ลงในถุงผ้ามัดห่อแล้ว ในสมัยนั้นพวกพ่อค้าเร่มักใช้ผ้าผืนใหญ่เป็นตัวห่อของ พอจะเก็บเพียงรวบผูกชาย เมื่อจะออกเดินทางก็ยกขึ้นสะพายบ่า เวลาเปิดขายก็แค่คลี่ผ้าแผ่แบ

แต่วันนั้น เหมือนเขาจงใจจะไม่เก็บไม้แกะสลักชิ้นนั้นง่ายๆ

แม่เดินกลับออกมาจากครัวไฟ ทันได้ยินคนขายพูดกับฉัน

แต่กระนั้น ตัวฉันก็ไม่มีเงินของตัวเองสักบาท

แม่จกมือเข้าในชายพกหัวซิ่น หยิบสตางค์เหรียญออกมา คนขายแบมือรับ แล้วก็บอกฉันว่า

“เอ้า มาใกล้ๆ”

ฉันนิ่ง คนขายส่ายหัวเบาๆ แล้วสบตากับพ่อ พ่อยังยิ้มกว้างอยู่

“จะเอาไม่เอา” คนขายสำทับ

ฉันจำกระถดตัวเข้าไปใกล้อีกอย่างเสียไม่ได้ และแล้ว…ของที่หมายปองก็ตกเข้าสู่มือ พร้อมกับสตางค์อีกสิบเก้าบาทนั้น

ฉันมองหน้าคนขาย มองหน้าพ่อ-แม่

พ่อยังยิ้มอย่างเดิม แต่แม่มีสีหน้าเรียบนิ่ง

คนขายยิ้มให้ฉัน พูดว่า

“ถือเสียว่าเป็นค่ายกขันโตก”

คนขายลงเรือนไปแล้ว เพียงครู่เดียวก็ลับหายไปจากสายตา แม่เหลียวไปมองหน้าพ่อ พูดเบาๆ ว่า

“พี่ใช้เล่ห์เอาของเขาอีกแล้วสิ”

พ่อหัวเราะอย่างชอบใจกึ่งไว้ท่า

“ไม่หรอก เขาถูกชะตาเรา ไม่ได้บังคับเขาสักหน่อย…อ้ายคนนี้ก็มีดีไม่เบา ดูหมอดูดวงก็ได้ เขาว่าอีกหน่อยลูกเราจะไปได้ดีที่อื่นแล้วถึงค่อยกลับมา ของชิ้นนี้ยังบอกวาสนาเอาไว้”

“ก็แค่ของทำขาย” แม่ว่า “จะบอกวาสนาอะไรได้รึ ขายต่อจะมีคนซื้อหรือเปล่าเทอะ”

“ก็ไว้ดูกันไป” พ่อว่า “สมใจหรือยังพี่”

ฉันยังไว้ท่ากับพ่อ จึงเพียงพยักหน้ารับ แล้วลูบคลำของที่เพิ่งได้มา…ช่างน่าแปลก ใจเต็มตื้นราวว่าเป็นของที่ตามเสาะหามานาน

 

แต่วันนี้ แม้ของยังอยู่บนเรือนบ้าน แต่กาลเวลาก็ทำให้มันดูคลายความงามไป

จากไม้สีน้ำตาลอ่อนที่เคยสลักเสลาเป็นงาช้างอย่างกลมกลึง และตูมดอกบัวที่เคยแลเห็นกระทั่งลายริ้วกลีบ เหมือนปรากฏแต่ลายเสี้ยนผุดโผล่ สิ้นสง่าราศี มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าไม่มีการขัดสีชำระล้างใด หยากไย่พาดพัน

แม่ไม่อยู่ในเรือนหลังนี้อีกแล้ว แต่วัตถุหลายสิ่งยังอยู่ หากเหมือนบังคับให้จ้องดูความเสื่อมโทรมของมัน

ฉันไม่อยากกลืนข้าวลงคอเลยอีกสักคำ

น้องนั่งข้างตัว ใบหน้ากลมขาวก็ราวเปลี่ยนไปด้วย ดวงตาหรุบต่ำ พูดแต่น้อยคำ กินข้าวอย่างตั้งใจ

บ้านไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

 

[พระจันทร์…ครึ่งเสี้ยว

มัวหม่นไม่สดใส

เพราะฝนทำท่า อยากจะตก

จนป่านนี้…

จันทร์เสี้ยวของเรา

จะเป็นอย่างไรหนอ

อาจเหงา อาจเศร้า อาจหมอง

เหมือนพระจันทร์บนฟ้าไกล

ฉันอยากไปปลอบเธอเพื่อนรัก…

อยากไปพบเธอ แล้วเป็นกำลังใจให้เธอ

อีกไม่นาน เราคงได้ร่วมเดินทางในเส้นเดียวกันอีกครั้ง

ตอนนี้ ต่างคนต่างดิ้นรนไขว่คว้า

เราพอมีจุดหมายอยู่ข้างหน้าที่ไม่ไกล

แต่…ก็ไม่แน่ใจ ที่เราคิดกันจะเป็นจริงได้แค่ไหน

เธอจะเป็นเช่นไรบ้างนะ…

เธอจะเห็นบ้างรึเปล่ากับจันทร์เสี้ยวที่หม่นมัวอยู่บนท้องฟ้า

เธอจะเป็นเช่นนั้นไหมนะ…

ฉันคิดถึงเธอมาก กับความเปลี่ยวเหงาที่รุมล้อม

อาจมีเพียงเธอเท่านั้นที่เข้าใจ แต่เธอก็อยู่ไกลเกินกว่าได้รับรู้

For you…

ชื่นใจ, 3 สิงหาคม]

สมุดปกลายสก๊อตสีแดง แสดงนิทรรศการถ้อยคำของเพื่อนวัยเยาว์อีกบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า เมื่ออิ่มจากข้าวมื้อแลง น้องกลับไปนอนที่หอพักในตัวอำเภอ พ่อกับภรรยาใหม่ลงเรือนไปแอ่วหาคนป่วยไข้…ใครสักคน เหลือเพียงตัวฉันกับความเงียบงันยามราตรี

พรุ่งนี้อีกแล้วสิ…ที่จะถึงวันเกิดของเรา

รู้สึกถึงวัยวันที่ผ่านมามากขึ้นทุกที จนป่านนี้ชีวิตก็ยังเลื่อนลอย

พรุ่งนี้ก็ถึง 18 ปีบริบูรณ์…

ไม่รู้นะว่าแม่จะรู้หรือเปล่า

พรุ่งนี้ก็คงเหงา…เหว่ว้าเช่นเคย

ถึงจะเป็นวันสำคัญสำหรับเรา แต่คนอื่นๆ ก็คือวันธรรมดาๆ

ถ้าฉันมีเงินพอจะจัดเลี้ยงให้เพื่อนๆ ได้สนุกสนานกันอย่างเต็มที่

แต่…ทุกอย่างก็เป็นเพียงคิด เรายังจนๆ อยู่นะสิ

ยังไม่รู้…ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้ที่สำคัญของเรา จะต้องเจอปัญหาอะไรบ้าง

อยากอยู่ใกล้ๆ เพื่อนรัก ช่วยกันบันทึกวันสำคัญที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้จัง

เฮ่อ…เพื่อนรัก…อยู่ที่ไหนหนอ

สบายดีหรือเปล่าน้า รู้ม้า ใครคิดถึงที่ซู้ด

รู้เปล่าว่าเรา…

คิดถึงเธอนะ

14 กรกฎาคม, เราเอง ชื่นใจ]

 

ลุกขึ้นไปเพียงหนึ่งก้าว ฉันก็พบหน้าต่างบานเดิมที่ปราศจากการเปลี่ยนแปลงใด ผลักเบาๆ ก็ยังเปิดให้เห็นจันทร์เสี้ยวเหนือหลังคาและยอดไม้ แต่ก็นั่นเอง บันทึกของชื่นใจบอกให้รู้ว่ากาลเวลายังคงเดินหน้าของมันไป…ชื่นใจเขียนไว้หน้าหนึ่งว่า อายุได้สิบแปดปีแล้ว นั่นหมายความว่าในห้วงขณะนั้นตัวฉันเองก็อายุสิบเจ็ดปี

ช่างเป็นสิบเจ็ดปีที่แสนยาวนาน แต่ทุกเรื่องราวที่ผ่านกลับเหมือนหนังฉายอย่างรวดเร็ว…เร็วเกินไป

คนที่อายุสิบเจ็ดปีอื่นๆ เขามีชีวิตกันอย่างไรบ้างนะ พลางอดไม่ได้จะคิดถึงอีกช่วงหนึ่งของชีวิตที่แล้วก็ผ่านพ้นไป

เมื่อฉันกลับมาบ้านไม้ริมคลองอีกครั้ง หลังแม่ตาย ฉันอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี