จรัญ พงษ์จีน : จาก “ประยุทธ์” ปี 57 จนถึงก้าวสู่ปี 64

จรัญ พงษ์จีน

“เกรด” ไม่ใช่เครื่องวัดความสำเร็จ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อาจเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ฉลาดหลักแหลม-ลีลาอาจจะพื้นๆ ไม่ใช่ระดับขี่เมฆ แต่ “ผู้ชนะ” ไม่จำเป็นต้องเก่งมาก คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต

“บิ๊กตู่” บริหารประเทศมา 6 ปีกว่า ท่ามกลางปัญหาสารพัด ความอดอยากยากจนแผ่กระจาย บ้านเมืองวุ่นวาย สิทธิเสรีภาพถูกจำกัด แต่เหลือเชื่อเอามากๆ กระแสนิยมยังยึดหัวหาด ครอง “อันดับ 1”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ล่าสุด “สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์” หรือ “นิด้า” เผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “คะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาสครั้งที่ 4” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-23 ธันวาคม สั่งลาปี 2563 จากประชาชน กระจายทุกภูมิภาค

หัวข้อเกี่ยวกับบุคคลที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี “อันดับ 1” ร้อยละ 32.10 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้

“อันดับ 2” ตกเป็นของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ร้อยละ 30.32

สาเหตุที่ประชาชนยังนิยม “บิ๊กตู่” เนื่องเพราะบริหารดีอยู่แล้ว เป็นคนจริงจังกับการทำงาน ตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์ บ้านเมืองสงบไม่วุ่นวาย สามารถตัดสินใจได้เด็ดขาด ช่วยเหลือประชาชนได้ทุกเพศทุกวัยอย่างทั่วถึงเหมาะสม ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว

อันดับ 3 ร้อยละ 13 ตกเป็นของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” เพราะมีประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาได้ดี มีความซื่อสัตย์ เป็นคนตรงไปตรงมา พูดจริง ทำจริง และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “บิ๊กตู่” ครองจ่าฝูง เป็นบุคคลที่ชาวบ้านสนับสนุนให้นั่งเก้าอี้ทำเนียบผู้นำ “นิด้าโพล” ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 2 ก็อีหรอบเดียวกัน ยึดตำแหน่งจ่าฝูง แบบม้วนเดียวจบ ร้อยละ 18.64 ร้อยละ 25.47 ไตรมาส 4 ปี 2563 น่าจะตก เนื่องจากมีเงื่อนไขเชิงลบหลายประการ สะสมหมักหมม แต่กลับไม่ใช่ ดีกว่าเดิมซะยังงั้น

สิ่งที่เห็นบางอย่างแน่นอน บางอย่างไม่แน่นอน หักปากกาเซียน นักวิเคราะห์ กูรูการเมือง ลบคำสบประมาท กลิ่นการดูถูกดูแคลน ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่ “หมอดู” หมอเดา ต่างพากันเสียสติมาแล้วนับไม่ถ้วน

กำแพงนั้นต่ำเตี้ย แต่แต้มบุญสูงส่ง คนแบบนี้เปิดร้านขายข้าวแกงยังเจ๊ง แล้วเป็นไงล่ะครับ กลับเป็นผู้นำที่มาจากการยึดอำนาจแต่กระแสนิยมไม่ตกต่ำ

“พล.อ.ประยุทธ์” เป็นผู้นำคณะรัฐประหาร ยึดอำนาจแล้วเบียดแทรกมาเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ปีเดียวกันในเดือนสิงหาคม “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” มีมติเอกฉันท์เลือกเขาเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 เป็นผู้นำประเทศคนที่ 5 ที่มาจากการยึดอำนาจ

หลังเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562 พล.อ.ประยุทธ์ได้รับฉันทานุมัติด้วยเสียงท่วมท้นให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มาจากประชาธิปไตยทางตรงจากประชาชนพลเมือง มีฐานเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองมากที่สุดถึง 19 พรรค เสียงปริ่มน้ำในช่วงต้นๆ แต่ท่วมท้นเมื่อ 250 เสียงจากวุฒิสภา ที่ตัวเองตั้งมากับมือ ทำหน้าที่ฝักถั่วได้สมบูรณ์แบบ

เท่ากับ “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 คาบช่วงจากปฏิวัติยึดอำนาจและเลือกตั้ง อยู่บนตำแหน่งมา 6 ปีเข้าไปแล้ว และมีแนวโน้มจะอยู่ครบเทอม หากยึดตำแหน่งผู้นำเป็นที่ 1 อยู่ได้เยี่ยงเดิม

ดีไม่ดีหากรักษาฟอร์ม ถีบๆ ถอยๆ ไม่ยุบเสียก่อน จะสามารถกระโดดค้ำถ่อได้อีกสมัย ทุบสถิติ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานถึง 8 ปี

เพราะตามแนวทางรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ล็อกสเป๊กไว้ว่า วุฒิสมาชิกมีวาระอยู่ในตำแหน่ง 5 ปี เท่ากับว่า มีโอกาสร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีได้อย่างน้อย 2 ครั้ง ซึ่งรู้ๆ กันอยู่ว่า เขียนขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

 

แนวโน้มใครต่อใครก็คิดว่า “บิ๊กตู่” น่าจะหนังเหนียวอยู่ต่อ แม้แต่นักข่าวทำเนียบ ตั้งฉายาสะท้อนปัญหาการทำงานให้รัฐบาลว่า “Very กู้” มีหน้าที่กอบกู้ชีวิตคนให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ท่ามกลางปัญหาปากท้องที่ทับถมหนัก รัฐบาลต้องกู้เงินสูงสุดในประวัติศาสตร์มาบรรเทา

แต่กับ “พล.อ.ประยุทธ์” ได้รับฉายา “ตู่ไม่รู้ล้ม” …ล้อคำว่าโด่ไม่รู้ล้ม ซึ่งมีสรรพคุณทำให้คึกคัก ไม่รู้จักเหนื่อย เปรียบนายกรัฐมนตรีไม่ว่าประสบปัญหาหรือโดนชุมนุม ก็ยังยืนอยู่ในตำแหน่งได้

กล่าวได้ว่าแทบตลอดทั้งปี 2563 “พล.อ.ประยุทธ์” เผชิญกับมรสุมทั้งทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากพรรคฝ่ายค้าน ที่คิดว่าน่าจะมีหมัดเด็ด โดนเช็กบิลตั้งแต่ยกแรก แต่กลับไร้น้ำยา

แถมล่าสุด “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยกรณีบ้านพักข้าราชการทหารภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ไม่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 ที่ระบุว่า ไม่รับเงินหรือไม่รับผลประโยชน์ใดๆ จากหน่วยราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าไม่มีความผิด สามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ แม้คอการเมืองจะลุ้นระทึก เชื่อกันว่าน่าจะโดนสอยอีหรอบเดียวกับผู้นำคนก่อนๆ

รวมถึงการชุมนุมของม็อบราษฎร ที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ลุกฮือขึ้นมาร่วมประท้วง แรกๆ คิดว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะรับมือไม่ไหว แต่สุดท้ายการชุมนุมก็ค่อยๆ “แผ่ว” ลงไปเอง แบบมีโชคช่วย

แต่ทุกอย่างก็อย่าประมาท ในปี 2564 ปัญหาทุกอย่างสะสมกันมาตั้งแต่ปี 2563 เริ่มระอุ กำลังจะถาโถมเข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปีกันเลยทีเดียว เริ่มจากม็อบนักศึกษาก็น่าจะจุดชนวนขึ้นมาใหม่

ขณะที่ด้านสภาผู้แทนราษฎร “พรรคฝ่ายค้าน” มีธงยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตั้งแต่ไก่โห่ เปิดบริสุทธิ์ตั้งแต่ต้นปีกันเลยทีเดียว มีชนวนมากมาย ข่าวคลุกวงในระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างคัดตัวขุนพลฝีปากกล้า

เหนือสิ่งอื่นใดคือปัญหาเศรษฐกิจ ที่ต่อยอดมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มจะดีในช่วงปลายปี แต่กลับมาระบาดหนักรอบที่ 2 ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ การท่องเที่ยวไม่มีปัจจัยใดโงหัวขึ้น

ขณะที่ชนชั้นล่างเงินที่ช่วยเหลือในรูปลักษณ์ต่างๆ ใช้หมดหน้าตัก คนตกงานเพิ่มปริมาณมากอย่างล้นหลาม

ศึกหนักทั้งในและนอกสภา สำหรับ “พล.อ.ประยุทธ์” ในปี 2564