การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ต่อให้ดวงตายังคงวาวดำ

ไม่ง่ายเลยที่เราจะมองทุกสิ่งด้วยสายตาเหมือนเดิม ต่อให้ยืนอยู่บนผืนดินเดิม ฉันก็รู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป ไม่มีอะไรคงที่ถาวร แม้แต่กระแสน้ำที่ไหลเลาะฝั่ง ฉันรู้แล้วว่า ต่อให้มันคือสายน้ำเดิม แต่ในการไหลต่อเนื่องเหล่านั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งเดิม

เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีดวงตาดำขลับกระจ่าง รอยยิ้มของเธอสว่าง ฟันซี่เล็กๆ เรียงตัวอยู่ในปากสีชมพูเหมือนกลีบบัวในบึง

แต่ไม่หรอก…ไม่ใช่…เพียงกะพริบตา ก็เหมือนโยนก้อนหินลงไปในน้ำจนกระเพื่อมเป็นวงกว้าง

เด็กผู้หญิงคนนั้นหายวับ ภาพซ้อนขึ้นจางๆ หยักพร่าก่อนจะชัดทีละน้อย

ผู้หญิงอีกคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า

 

ดวงตายังคงกระจ่างเมื่อส่งยิ้มมา ปากยังมีรูปที่คุ้นตา เป็นโครงใบหน้าที่คุ้นใจ แต่รอยย่นบนหัวคิ้ว จุดฝ้าและรอยสิวบนแก้มหมอง ปากแตกเป็นร่องระแหง มีสะเก็ดผิวหนังหลุดติดกับสีลิปสติกแดงๆ เสื้อผ้ายังมีรอยยับจากการพับเก็บไว้ คงจะขึงสลัดก่อนนำมาใส่ กลิ่นอับสาบๆ ยังติดอยู่ในเนื้อผ้าอยู่เลย

“สวัสดี!”

ชื่นใจเอ่ยปาก แล้วยื่นมือออกมาคว้ามือฉันไปกุมไว้

“จำกันได้หรือเปล่านี่!” พูดพลางเอียงคออย่างยั่วเย้า

มีนกสีขาวๆ ตัวหนึ่งโผบินอยู่บนฟากฟ้า ฉันแหงนดูมันตามสัญชาตญาณ แต่ก็ทันเห็นเพียงปีกขยับไหวไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็เห็นเพียงฟ้าจ้าๆ และต้องกลับมาหยีตาอย่างแสบเคือง

“จำได้สิ ใครจะลืม” ฉันตอบออกไป

“ดีใจจังเลยได้เจอเธอ ดีใจ๊ ดีใจ!” ชื่นใจยังเขย่ามือฉันไม่หยุด “เราไม่ได้เจอกันนานเท่าไหร่แล้วนะ!”

 

นั่นสิ มันนานมากแค่ไหนที่เราไม่ได้พบกัน หากนับทบทวนเป็นระยะเวลา ฉันรู้ว่า มันอาจไม่กี่ปี แต่หากนับที่ความรู้สึก เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ และอดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่า เธอเล่า มองเห็นฉันเป็นแบบไหน

ฉันสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายทางซีดๆ คอปก พับแขนเสื้อหลวมๆ กับกางเกงสีดำหนึ่งตัว สวมรองเท้าผ้าใบ ส่วนชื่นใจสวมเสื้อสีชมพูจ้าและกางเกงสีขาว แต่เมื่อผิวเนื้อหมองคล้ำลงยิ่งกว่าเก่า จึงราวมีไฟนีออนอยู่บนเนื้อหนังสีน้ำตาลเหล่านั้น ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปทางใดก็ให้สะดุดตาอยู่เสมอ

จนกระทั่งคนที่ผ่านไปมา จะมองเห็นเธอก่อนเป็นอย่างแรก และมีเสียงร้องทักไม่ขาดสาย

“กลับมาเมื่อไหร่!” คนขี่รถเครื่องผ่านร้องถาม

“ตะกี้นี้เอง!” ชื่นใจร้องตอบ แล้วสองฝ่ายก็มีรอยยิ้มให้แก่กัน

ชื่นใจยิ้มเก่งอย่างที่เคยเป็น และตอบทุกเสียงทักทายอย่างคนรื่นเริง ฉันเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า

“เราไปหลังบ้านกันมั้ย”

“เอาสิจ๊ะ”

คำพูดของเธอยังคงหวานหู แล้วเราก็เดินจูงมือกันเข้าไปในเขตของบ้าน

 

เคยมีต้นผักฮ้วนหมูอยู่ที่ท่าน้ำ กับต้นข่อยต้นหนึ่ง และมะพร้าว มะม่วง มะไฟ ตรงทางเดินลงท่าน้ำพ่อเคยทำสะพานไม้ไผ่เล็กๆ เอาไว้ ถ้าเหลียวซ้ายจะเคยมีคอกหมูอยู่อีกอย่าง เสียงหมูร้องอู๊ดๆ ในยามเช้ายังดังติดอยู่ในหู แต่สำหรับปัจจุบัน มันเป็นเพียงลานดินว่างเปล่า มีแต่กองขยะ และเศษซากต่างๆ ระเกะระกะอยู่

แต่เราก็เข้าไปยืนกันอยู่ตรงนั้น หันหน้าไปหาลำน้ำ มือยังจับกันอยู่

“เธอคงอยู่ดีมีสุขสินะ” ชื่นใจพูด “ไม่ได้ลำบากเหมือนฉัน”

“ทำไมคิดยังงั้นล่ะ” ฉันเหลียวไปมองเสี้ยวหน้าที่มีไรผมรุ่ยร่าย

ชื่นใจยังไว้ผมบ๊อบสั้นแค่คอ แต่ก็ย้อมเคลือบสีไว้จนคล้ายมีประกายแดงทอง

ถ้าไม่นับเสียง ใบหน้า ราวว่าทุกสิ่งแปลกปลอมไปสิ้น

“ก็เธอได้ไปอยู่กรุงเทพฯ ไปทำงานบริษัท” ชื่นใจว่า

“รู้ได้ยังไง”

“ใครๆ เขาก็พูดกัน เธอไปได้ดี มีคนอุปถัมภ์”

“ยังงั้นหรือ” ฉันอดยิ้มหยันไม่ได้ “คนเขาว่ายังไงอีก แล้ว…เธอก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ได้ยินยังไง”

“โอ้ย คนบ้านเราไปไหนก็เจอกัน ฉันอยู่ในเวียงเจอคนนั้นคนนี้ตลอด มีแต่เธอนี่แหละไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา”

ฉันได้แต่ฟัง

“คงเริ่มจากมีคนมาถามพ่อ-แม่เธอ ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน ฉันก็เคยถาม เขาก็บอกว่าเธอไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว มีคนพาไป แล้วเธอส่งเงินมาให้พ่อ-แม่ใช่ไหมล่ะ คนเขาก็พูดกันว่าเธอเป็นคนกตัญญูรู้คุณพ่อ-แม่ รู้มั้ย มีแต่คนชื่นชมเธอนะ ฉันเสียอีก แม่ยังด่าว่าเช้าเย็น หาว่าฉันทำแต่ความเดือดร้อนให้”

“เดือดร้อนยังไง”

“ก็…ฉันอยากอยู่กับคนที่ฉันรัก แต่แม่ไม่เห็นด้วย ฉันก็ยอมทำตามเขาไป แต่พอฉันแต่งงานกับคนที่เขาพอใจจริงๆ เขาก็หาว่าฉันพาทุกคนมาลำบาก คนที่ฉันแต่งด้วยไม่ได้รวยอย่างที่คิด”

ใบหน้าที่หม่นหมองกับคำพูดที่ฟังซื่อตรงจากใจ ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ อย่างหนึ่ง

เหมือนเสี้ยวขณะหนึ่ง เด็กผู้หญิงสองคนนั้นได้หวนกลับมา

ในชั่วเวลาที่เราเคยบอกเล่าเรื่องราวมากมายแก่กัน ในวันที่เราต่างเฝ้าถวิลหาความสุขและชีวิตที่จะดีกว่า

หากแต่ขี้หมาเถอะ! ผ่านมาสิบ-ยี่สิบปี เราก็ยังมายืนพูดกันอยู่ตรงนี้ ที่มีแต่ขี้ฝุ่นขี้ดิน และความอับเฉาโรยร่วง

มือที่บีบมือฉันไว้ สั่นสะเทือนเบาๆ

เกือบจะเป็นการร้องไห้

“ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน รู้มั้ย ถ้าเธออยู่ใกล้ๆ คงจะได้มีที่ปรึกษาบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย ฉันไม่เคยมีใคร คิดถึงเธอก็ได้แต่เขียนลงในสมุด”

 

สมุดหลากหลายขนาดวางกองอยู่ตรงหน้า ฉันจ้องดูอย่างไม่คาดฝัน เหมือนมันงอกขึ้นเรื่อยๆ จากถุงสะพายที่ชื่นใจนำมา

ชื่นใจฉีกเอาใบกล้วยมาง่ายๆ จากข้างตลิ่งที่เรายืนอยู่ แล้วส่งบางส่วนให้ฉันรองนั่ง จากนั้นเราก็นั่งอยู่กับกองสมุดที่เธอค่อยๆ ล้วงมันขึ้นมา

บ้างเป็นสมุดเล่มหนา บ้างเป็นสมุดเล่มบาง บ้างเป็นสมุดฉีกเนื้อเบา บ้างเป็นปกมีสีสันลวดลาย บ้างเป็นปกสีพื้น มีเล่มหนึ่งปกสีน้ำเงิน ตัวหนังสือเขียนไว้ว่า “สมุดบันทึกหัวใจ”

เกือบจะมือสั่นบ้างเมื่อหยิบบางเล่มขึ้นดู พลิกอ่าน

 

[คืนนี้…

คืนนี้ ฉันรู้สึกเหงา คิดถึงอะไรหลายๆ อย่าง ภายในห้องแคบๆ มีแสงเทียนอยู่ 2 เล่ม ไฟฟ้าดับตั้งแต่หัวค่ำจึงจำเป็นต้องจุดเทียน

คืนนี้เหงา ว้าเหว่ อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว

ลมพัดแรงมากตอน 4 โมงของวันนี้ ฝนตกเม็ดใหญ่ คืนนี้ดึกๆ

คงตกอีกไม่มากก็น้อย

เมื่อเห็นสภาพของตัวเองแล้ว ฉันนึกหวาดกลัวทุกอย่าง

มองทางไหนมืดมิด

ไร้แม้กระทั่งแสงของดวงดาวที่บนฟ้า ความมืด ฉันกลัวมากที่สุด

กลัวทุกสิ่งที่แฝงอยู่ในความมืด และความเงียบเหงา วังเวง

ใช่! สิ มันคงเหมือนชีวิตของฉัน ปราศจากแม้แสงนำทางช่วยส่องชี้…

ยามฉันเหงา เศร้า ไร้คนเข้าใจ อะไรล่ะ ที่ทำให้ชีวิตเป็นอย่างนี้

อยากทำในสิ่งที่ใจต้องการ แต่ไม่อยากทำเพราะชีวิตไม่ต้องการ

ชีวิต…หรือคืออะไร

(ลงวันที่)]

 

[เพื่อนรักจ๊ะ ฉันขอพูดเรื่องความรักหน่อยนะ

ความรักที่ฉันมีต่อเขา (ปัจจุบัน ฉันยังติดต่อกับเขาอยู่) คือความรักที่สะอาด…บริสุทธิ์ และสดใส ยากที่ใครหรือเขาจะเข้าใจความรักที่ฉันมีต่อเขาได้

…แต่ฉันก็ไม่เคยหวังหรอกนะ ว่าความรักจะต้องอยู่เคียงคู่กันจนชั่วฟ้าดินสลาย เพราะมันเป็นไปได้ยาก

…ฉันอยากให้เธอมาอยู่ข้างๆ ฉันจัง ฉันอยากให้เธอปลอบใจฉันสักหน่อยฉันจะผ่านมันไปได้ กับความรักที่แสนเศร้านี้…]

 

“เธอเขียนหมดเลยหรือ” ฉันถามออกไป ทั้งที่ก็เห็นชัดด้วยตาว่า ตัวหนังสือทุกหน้าคือลายมือเดียว

“จ้ะ” ชื่นใจพยักหน้า “ฉันเขียนเวลาเหงา และเวลาอยากจะพูดคุยกับเธอ”

“เสียดายนะ ฉันน่าจะได้อ่านมันบ้าง…”

“เธอจะอ่านได้ยังไงล่ะ ตัวเธออยู่ไหนฉันก็ยังไม่รู้ เคยมาขอที่อยู่จากพ่อ-แม่เธอ ฉันส่งจดหมายไปก็เงียบหาย”

อีกครั้งที่ฉันรู้สึกเกินอธิบาย

ฉันเคยได้จดหมายจากเธอ…ซองมอมแมมที่ผ่านการเดินทางแสนไกล แต่ก็ไม่เคยได้ตอบกลับไปสักครั้ง

หากเช่นกัน ฉันก็เพียงเขียนมันลงสมุด…

“แล้วทำไมถึงเอามาให้ฉันดู”

“ก็เพราะมันคือความรู้สึกทั้งหมดของฉัน” ชื่นใจจ้องหน้าฉัน “ฉันอยากเอามาให้เธอเก็บไว้”

 

จะมีใครสักกี่คนที่คิดถึงใครสักคน มากเสียจนเขียนตัวหนังสือลงในสมุดเป็นร้อยๆ หน้า แล้วรอเวลาจะนำตัวหนังสือเหล่านั้นมาให้

และจะมีใครบ้าง ที่ยังคงยืนอยู่ห่างๆ…อยู่อย่างห่างไกล ต่อให้รัก ต่อให้คิดถึง ต่อให้เต็มไปด้วยความรู้สึกห่วงใย ก็แค่ปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เหมือนเพิกเฉยเย็นชา

คนแบบไหนกันที่ควรจะได้รับความเห็นใจ ควรแก่การรักใคร่อาทร คำตอบยอกย้อนจนเจ็บแปลบอยู่ในใจ

สมุดบันทึกมากมายกองอยู่บนใบกล้วยสีเขียวสด นั่นคือวันที่ชื่นใจปรากฏตัวขึ้นในบ้านเก่าที่เคยอยู่อาศัย

แสงตะวันสาดชอนใบไม้ใบไผ่ ท้องทุ่งตะวันออกมีพงหญ้าชูช่อดอกไสว ภรรยาใหม่ของพ่อยืนเขม้นมองอยู่ไกลๆ ผมดัดหยิกบนหัวมีสีดำมันเหลือบ คงเคลือบด้วยน้ำมันมะกอกขวดเล็กๆ ที่มีกลิ่นฉุน

ฉันเหลือบตาดูเท้าของชื่นใจ เธอถอดรองเท้าวางด้านข้าง เพื่อจะนั่งให้ถนัดขึ้นบนใบตอง ตีนเล็กๆ ของเธอยิ่งดูหม่นหมอง มีคราบสะเก็ดแผลและตุ่มหนอง รอยยุงหรือแมลงกัดเป็นจ้ำๆ ต่อให้ดวงตายังคงวาวดำ และสวมเสื้อผ้าสีสันสดใส ก็ไม่อาจซ่อนความเหนื่อยล้ายากไร้ที่ติดตัวเธออยู่